นายณัฐนัย อนันตรัมพร กรรมการผู้จัดการ บมจ.อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม (ITEL) กล่าวว่า ภาพรวมธุรกิจในปี 61 มั่นใจว่ารายได้ทั้งปีของบริษัทจะเติบโตตามเป้าหมาย 40% หรือประมาณ 1,400 ล้านบาท หลังจากงวด 9 เดือนแรกมีรายได้เข้ามาแล้ว 1,282 ล้านบาท อยู่ระหว่างพิจารณาปรับประมาณการรายได้เพิ่มขึ้น ITEL เชื่อมั่นว่าทั้งปีผลประกอบการสร้างสถิติใหม่ เพราะในช่วงไตรมาส 4/61 คาดว่าแนวโน้มผลงานยังโตต่อเนื่อง และยังมีอีกหลายโครงการที่อยู่ระหว่างรอผลการประมูล ล่าสุดยังมีงานในมือกว่า 2,455 ล้านบาท โดยบางส่วนจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ และเมื่อรวมกับรายได้ที่เข้ามาใหม่ทำให้มั่นใจได้ว่าการเติบโตจะไปถึงเป้าหมายเพื่อเสริมแกร่งรายได้แน่นอน
ทั้งนี้ ผลประกอบการงวด 9 เดือนของปี 61 บริษัทมีรายได้รวม 1,282 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 650.11 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 102.90 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 631.78 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 98.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.12 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 39.68 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยบริษัทมีรายได้จากงานบริการโครงข่ายอยู่ที่ 465.51 ล้านบาท รายได้จากการให้บริการติดตั้งโครงข่ายอยู่ที่ 736.70 ล้านบาท รายได้จากธุรกิจให้บริการพื้นที่ดาต้าเซ็นเตอร์ มีรายได้จำนวน 48.69 ล้านบาท รายได้ค่าบริการอื่น 25.72 ล้านบาท รายได้อื่นๆ 5.27 ล้านบาท
ขณะที่ไตรมาส 3/61 บริษัทมีรายได้จากงานบริการโครงข่ายอยู่ที่ 169.20 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 40.24% ของรายได้รวม เทียบกับไตรมาส 3/60 ที่มีรายได้ 131.69 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 28.48% เป็นผลสืบเนื่องจากบริษัทฯ มีการขยายโครงข่ายให้ครอบคลุมพื้นที่ 75 จังหวัด รวมทั้งเพิ่มเส้นทางเชื่อมต่อไปยังลูกค้า ในขณะเดียวกันโครงข่ายของบริษัทฯ เป็นที่รู้จักและได้รับความไว้วางใจด้วยคุณภาพของการให้บริการ ที่ SLA 99.99% เนื่องจากบริษัทมีฐานลูกค้าเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นการเติบโตตามปกติในทุกๆ ไตรมาส
ส่วนรายได้จากการให้บริการติดตั้งโครงข่ายอยู่ที่ 229.18 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 54.51% ของรายได้จากการให้บริการ เทียบกับไตรมาส 3/2560 ที่มีรายได้ 84.61 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 170.88 % แบ่งเป็นรายได้จากการให้บริการติดตั้งโครงข่ายโทรคมนาคมให้แก่ลูกค้าจำนวน 228.08 ล้านบาท และรายได้จากการให้บริการเชื่อมต่อโครงข่ายลูกค้าเข้ากับโครงข่ายของบริษัทจำนวน 1.10 ล้านบาท โดยงวดนี้บริษัทมีการรับรู้รายได้งานโครงการที่สำคัญ คือ โครงการอินเตอร์เน็ตชายขอบ จำนวน 159.60 ล้านบาท และงานรับเหมาติดตั้งโครงข่ายไฟเบอร์ออพติกของผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายหนึ่งจำนวน 48.59 ล้านบาท
ด้านรายได้จากธุรกิจให้บริการพื้นที่ดาต้าเซ็นเตอร์ มีรายได้จำนวน 22.06 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 5.25% ของรายได้รวม เพิ่มขึ้น 10.69% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยรายได้จากการให้บริการพื้นที่ดาต้าเซ็นเตอร์ เติบโตขึ้นจากรายได้ค่าไฟฟ้าที่สามารถเรียกเก็บจากลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการและรายได้จากการให้บริการดูแลศูนย์รับฝากข้อมูลหรือดาต้า เซ็นเตอร์
สำหรับธุรกิจให้บริการพื้นที่ดาต้าเซ็นเตอร์ ในปีนี้คาดว่ารายได้จะเติบโตจากปี 60 อย่างมีนัยสำคัญ โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีดาต้าเซ็นเตอร์ถึง 2 แห่ง โดยในแห่งแรกได้สร้างเสร็จและให้บริการเต็มพื้นที่เรียบร้อยแล้ว และในส่วนดาต้า เซ็นเตอร์ แห่งที่ แห่งที่ 2 ได้เปิดให้บริการตั้งแต่ไตรมาส 1/61 ที่ผ่านมา คาดภายในสิ้นปีนี้จะมีผู้ใช้บริการ 50-60% ส่วนแผนปี 62 จะเปิดให้บริการพื้นที่ดาต้าเซ็นเตอร์ส่วนที่เหลืออีก 30% เน้นเจาะกลุ่มลูกค้ากลุ่มธนาคาร และหน่วยงานภาครัฐ
ทั้งนี้ งานให้บริการเชื่อมต่อข้อมูลหรือ ดาต้าเซอร์วิส ปัจจุบันบริษัทมีฐานลูกค้าทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ได้แก่ ห้างสรรพสินค้า โรงภาพยนตร์ โรงพยาบาล ปั๊มน้ำมัน ผู้ให้บริการมือถือ และในปีนี้บริษัทได้ขยายฐานลูกค้าเพิ่ม เช่น ปั๊มน้ำมันซัสโก้ อิออน ศรีสวัสดิ์ เมืองไทยลิสซิ่ง และหน่วยงานภาครัฐ อาทิ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การประปาส่วนภูมิภาค เป็นต้น
ส่วนธุรกิจให้บริการติดตั้งโครงข่าย มีแนวโน้มเติบโตไปตามเทรนด์ 4G และ 5G จากการที่ผู้ให้บริการมือถือมีการขยายโครงข่าย โดย ITEL เป็นหนึ่งในซัพพลายเออร์ที่ติดตั้งโครงข่าย ให้กับผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ชั้นนำ อย่างไรก็ตาม บริษัทฯจะยังคงบริหารจัดการทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยการรับงานติดตั้งโครงข่ายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเกิดจากความเชี่ยวชาญของบริษัทฯ และลูกค้ามีความมั่นใจในบริการของบริษัทฯ อยู่แล้ว
ในช่วงไตรมาส 3/61 ที่ผ่านมา บริษัทได้ติดตามงานอินเตอร์เน็ทชายขอบอย่างใกล้ชิด ล่าสุดเมื่อเดือน ต.ค.61 ที่ผ่านมา บริษัทได้เข้าร่วมประมูลโครงการอินเตอร์เน็ตชายขอบเฟส 2ซึ่งกสทช.ได้จัดประมูล 8 สัญญา มูลค่าสัญญาละ 2,500 ล้านบาท รวมมูลค่าทั้งสิ้นกว่า 20,000 ล้านบาท ITEL ได้เข้าร่วมประมูล 3 สัญญา คาดว่าในช่วงปลายปี น่าจะมีความชัดเจน บริษัทคาดหวังจะได้งาน 1-2 สัญญา ในพื้นที่ภาคกลางหรือภาคใต้ หรือไม่ต่ำกว่า 15% ของมูลค่ารวม ซึ่งหากได้งานดังกล่าว จะทำให้งานในมือ (Backlog) เพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และสนับสนุนให้รายได้ของบริษัทเติบโตอย่างแข็งแกร่งในอนาคต