นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) เปิดแผนธุรกิจใน 4 ปีข้างหน้า (62-65) บริษัทมีแผนลงทุน 7.7 หมื่นล้านบาท พัฒนาและขยายธุรกิจกลุ่ม BCP โดยตั้งเป้ากำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ให้เติบโตขึ้น 2 เท่า โดยในปี 66 คาดว่าจะมี EBITDA มากกว่า 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะเป็นการเติบโตอย่างเท่าตัวอีกครั้งหนึ่งจากที่บริษัทเคยมี EBITDA มากกว่า 7 พันล้านบาทในปี 55 และเพิ่มเป็นประมาณ 1.4 หมื่นล้านบาทในปี 60 ภายใต้การขยายการลงทุนในธุรกิจสีเขียว
ทั้งนี้ เงินลงทุนส่วนใหญ่จะมาจากกระแสเงินสดที่มีอยู่ และการออกหุ้นกู้บางส่วน หลังจากที่ในปีที่ผ่านมาบริษัทได้คืนเงินกู้ไปแล้วค่อนข้างมาก โดยคาดว่าการลงทุนส่วนใหญ่มากกว่า 50% จะเกิดขึ้นในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า เน้นในกลุ่มโรงไฟฟ้าสีเขียว และธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ ขณะที่การลงทุนในธุรกิจต้นน้ำทั้งสำรวจและผลิตปิโตรเลียม และเหมืองลิเทียม จะใช้กระแสเงินสดจากโครงการในการลงทุน ส่วนเงินลงที่เหลือจะเป็นการลงทุนในธุรกิจการตลาดและโรงกลั่นน้ำมัน
สำหรับเป้าหมายสัดส่วน EBITDA ในปี 65 เทียบกับปีนี้ จะมาจากธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน 26% จาก 49% ,ธุรกิจการตลาด 12% จาก 17% ,ธุรกิจโรงไฟฟ้า 17% จาก 21% , ธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ 9% จาก 6% และธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติ 36% จาก 7%
นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า ธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน จากที่มีกำลังการผลิตสูงสุดที่ 120,000 บาร์เรล/วันในช่วง 4 ปีที่ผ่านมามีแผนยกระดับเพิ่มกำลังการกลั่นให้ได้ถึง 135,000 บาร์เรลต่อวันในปี 63 ควบคู่กับการลดการปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ด้วยโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงกลั่น YES-R Project และโครงการ 3E (Efficiency, Energy, and Environment Improvement)
กลุ่มธุรกิจการตลาด ใน 4 ปีข้างหน้าตั้งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดเป็น 18% จาก 15.8% ในปัจจุบัน โดยมีแผนจะเพิ่มสัดส่วน EBITDA จากการขยายธุรกิจไปต่างประเทศ 10% และเพิ่มสัดส่วนรายได้ในธุรกิจ Non-oil และ Lube เป็น 30%ในปี 65
กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ ซึ่งดำเนินการโดย บมจ.บีบีจีไอ (BBGI) ปัจจุบันมีกำลังการผลิตไบโอดีเซลและเอทานอลรวม 1.8 ล้านลิตร/วัน นับเป็นธุรกิจและจำหน่ายเชื้อเพลิงชีวภาพที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย จะมีการจัดตั้ง Bio Hub ในระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ภายใต้ยุทธศาสตร์ไทยแลนด์ 4.0 เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ชีวภาพมูลค่าสูง ทั้งด้านไบโอพลาสติก วัสดุชีวภาพ น้ำตาล Generation ที่ 2 และโปรตีนชีวภาพ ก้าวสู่การเป็นผู้นำอุตสาหกรรมชีวภาพ โดยคาดว่าแผนการลงทุน Bio Hub จะสรุปภายในสิ้นปีนี้ หรือปีหน้า ซึ่งอาจจะเป็นการเช่าที่ดินนิคมอุตสาหกรรมเพื่อรองรับการลงทุนดังกล่าว ขณะที่การนำหุ้น BBGI เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นคาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 62
ธุรกิจไฟฟ้า วางเป้าหมายใน 4 ปีข้างหรือปี 65 จะมีกำลังผลิตไฟฟ้าในมือ 1,000 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิตไฟฟ้าในมือราว 600 เมกะวัตต์ โดยเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) แล้วราว 380 เมกะวัตต์
กลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติ บริษัทถือหุ้นเป็นอันดับ 2 ใน Lithium Americas Corp. ซึ่งมีกำลังการผลิตในเฟสที่ 1 ปริมาณ 25,000 ตัน/ปี และสามารถขยายกำลังการผลิตได้ถึง 50,000 ตัน/ปี ทั้งนี้ บริษัทได้รับสิทธิในการจำหน่าย หรือนำไปป้อนเป็นวัตถุดิบให้กับโรงงานแบตเตอรี่ลิเทียมตามแผนการลงทุนของบริษัท ทั้งนี้ ปริมาณแร่ลิเทียมดังกล่าวเพียงพอสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าได้จำนวน 62,500 คัน/ปี
อีกทั้ง บริษัทมุ่งขยายการลงทุนในธุรกิจต้นน้ำที่บริหารโดยบริษัท OKEA ประเทศนอร์เวย์ กำลังการผลิตปิโตรเลียม 25,000 บาร์เรล/วัน คาดว่าจะมี EBITDA จากการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญราว 1.1 หมื่นล้านบาท/ปี รวมทั้งแสวงหาแหล่งน้ำมันดิบและพลังงานใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าการลงทุนใน OKEA จะแล้วเสร็จภายในเดือน ธ.ค.นี้ ส่วนการขายหุ้นธุรกิจปิโตรเลียมในฟิลิปปินส์ทั้งหมดคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 1/62
นายชัยวัฒน์ กล่าวอีกว่า ทิศทางราคาน้ำมันดิบในช่วงไตรมาส 4/61 คาดว่าจะอยู่ที่ราว 70-75 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และค่าการกลั่น (GRM) ทรงตัวจากไตรมาสก่อนอยู่ที่ราว 7 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ส่วนปี 62 ประเมินว่าจะเคลื่อนไหวที่ราว 70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล โดยต้องจับตาสถานการณ์การคว่ำบาตรอิหร่าน และการที่องค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (IMO) มีมติให้จำกัดกำมะถันในน้ำมันเตาของเรือเดินสมุทรไม่เกิน 0.5% จากระดับ 3.5% ในปัจจุบัน มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.63 นั้น จะมีผลต่อทิศทางค่าการกลั่นอย่างไร
ขณะที่แผนการดำเนินงานของบริษัทในส่วนธุรกิจโรงกลั่นคาดว่าจะกลั่นน้ำมันเฉลี่ยราว 115,000 บาร์เรล/วัน เพิ่มขึ้นจากปีนี้ที่หยุดซ่อมบำรุงโรงกลั่น 45 วัน แต่ปีหน้าไม่มีหยุดซ่อมบำรุง โดยการกลั่นน้ำมันเฉลี่ยที่ระดับดังกล่าวตลอดทั้งปีก็จะนับเป็นการกลั่นสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ด้านนายสุรชัย โฆษิตเสรีวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานบัญชีและการเงิน ของ BCP กล่าวว่า เงินลงทุนตามแผนลงทุน 4 ปีของกลุ่มธุรกิจจะมาจากเงินสดที่เข้ามาแต่ละปีราว 5-6 พันล้านบาท และเงินสดของกลุ่มที่มีอยู่ในมือราว 7 พันล้านบาท
ขณะเดียวกัน บริษัทมีแผนจะออกหุ้นกู้ 4-5 พันล้านบาทในช่วงปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้าเพื่อเพิ่มสภาพคล่อง หลังจากในช่วงปี 60-61 ได้จ่ายคืนเงินกู้ไป 5-6 พันล้านบาท รวมถึงใช้รองรับการลงทุนในอนาคตด้วย ขณะที่แนวโน้มดอกเบี้ยยังมีทิศทางปรับตัวขึ้นด้วย นอกจากนี้ในช่วง เม.ย.62 อาจจะออกหุ้นกู้อีก 4 พันล้านบาท เพื่อใช้ชำระคืนหุ้นกู้เดิมที่จะครบกำหนดในช่วงเวลาดังกล่าว