นายวันจักร์ บุรณศิริ ประธานผู้บริหารสายงานการเงินและสนับสนุนธุรกิจ บมจ.แสนสิริ (SIRI) ล่าสุดยอดขายรวม 10 เดือนทะลุไปที่ 43,600 ล้านบาท คิดเป็นเกือบ 90% จากเป้าหมายยอดขายใหม่ที่มีการปรับเป็น 50,000 ล้านบาท และเติบโตขึ้นถึง 64% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ บริษัทประสบความสำเร็จจากการพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์ลูกค้าในทุกกลุ่มที่อยู่อาศัย ทั้งทาวน์เฮาส์ที่ตอกย้ำความสำเร็จในปีนี้จากการรุกแบรนด์ สิริ เพลส ทั้ง 7 ทำเลรอบกรุงเทพฯ ตั้งแต่บ้านเดี่ยวเซกเมนต์ระดับกลางจนถึงระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ ทั้งแบรนด์บุราสิริ และโครงการบ้านเดี่ยวภายใต้แบรนด์ เศรษฐสิริ ในระดับราคา 10-25 ล้านบาท ได้รับการตอบรับที่ดี อาทิ โครงการบุราสิริ พัฒนาการ, โครงการเศรษฐสิริ พหล–วัชรพล, เศรษฐสิริ บางนา และเศรษฐสิริ กรุงเทพกรีฑา รวมถึง บ้านแสนสิริ พัฒนาการ ซึ่งเป็นโครงการแฟล็กชิพบ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ก็มียอดขายแล้ว 70% มูลค่ารวมกว่า 2,850 ล้านบาท นับเป็นการตอบรับที่รวดเร็วในกลุ่มบ้านเดี่ยวในระดับราคา 65-240 ล้านบาท
นอกจากนี้ที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมก็ได้รับการตอบรับที่ดี ทั้งคอนโดมิเนียมแบรนด์ใหม่ล่าสุด XT คอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์เดอะ เบส และคอนโดมิเนียมแบรนด์ดีคอนโด ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด อาทิ โครงการเดอะ เบส เซ็นทรัล – ภูเก็ต และดีคอนโด แคมปัส โดม-รังสิต ที่มีกระแสตอบรับที่ดีมากจนสามารถปิดการขายทันทีในวันแรกที่เปิดพรีเซล รวมถึงดีคอนโด หาดใหญ่ ที่มียอดขายแล้วกว่า 80%
รวมถึงบริษัทยังประสบความสำเร็จจากการสร้างยอดขายในตลาดต่างชาติ ที่ทำได้ถึง 12,600 ล้านบาท คิดเป็น 97% จากเป้าหมายยอดขายตลาดต่างชาติที่ตั้งไว้ในปีนี้ 13,000 ล้านบาท ทั้งนี้ปัจจุบันแสนสิริยังนับเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ไทยที่ครองส่วนแบ่งการตลาดลูกค้าต่างชาติที่สูงที่สุด จากการเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ไทยบริษัทเดียวที่เปิดการขายโครงการในต่างประเทศพร้อมกัน (Global Launch) และจัดกิจกรรมหลังการขายกับลูกค้าต่างชาติอย่างต่อเนื่อง
ส่วนผลการดำเนินงานไตรมาส 3/61 บริษัทมีรายได้รวม 6,882 ล้านบาท เติบโตขึ้น 23% จากไตรมาสก่อน โดยรายได้จากการขายเพิ่มขึ้นจากการโอนโครงการแนวราบและโครงการคอนโดมิเนียมในสัดส่วน 60:40 โดยเริ่มโอนโครงการ ดีคอนโด พิงค์ เชียงใหม่ ที่เริ่มรับรู้การโอนในไตรมาสนี้ นอกจากนี้บริษัทยังมีรายได้จากการบริหารโครงการภายใต้บริษัทร่วมทุนกับบีทีเอสอีก 1,120 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิในช่วง 9 เดือนอยู่ที่ 1,000 ล้านบาท
"ไตรมาสสุดท้ายของปี 61 ยังนับเป็นไตรมาสที่สำคัญของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จากการที่ลูกค้าจะตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย นอกจากนี้คาดว่าลูกค้าจะเร่งตัดสินใจซื้อและโอนที่อยู่อาศัย ก่อนมาตรการวางเงินดาวน์ใหม่ที่จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2562 เป็นต้นไป ทั้งนี้ บริษัทยังมีแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ในตลาดต่างจังหวัดตามแผนการดำเนินงานและเพื่อตอบรับความต้องการลูกค้าในเชียงใหม่ และหัวหิน อีก 2 โครงการ มูลค่ารวมเกือบ 3,000 ล้านบาท รวมถึงการเตรียมโอนโครงการใหม่ ได้แก่ ดีคอนโด แคมปัส กำแพงแสน มูลค่าโครงการ 1,222 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมียอดขายแล้วกว่า 70% ซึ่งจะส่งผลดีต่อเนื่องในผลประกอบการของบริษัทในช่วงที่เหลือของปีนี้"