นายคู่สูรย์ รัตนะพร ผู้อำนวยการฝ่ายการเงิน บมจ.เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง (TKN) กล่าวว่า บริษัทคาดยอดขายในปี 62 จะเติบโตกว่าปีนี้ เป็นไปตามยอดขายในประเทศ และต่างประเทศ โดยในประเทศน่าจะได้รับปัจจัยบวกจากเศรษฐกิจที่เติบโตดีขึ้น การเลือกตั้งที่ชัดเจน ซึ่งจะส่งผลดีต่อการบริโภคภายในประเทศดีขึ้น รวมถึงมีแผนออกสินค้าใหม่ แบ่งเป็นขนมประเภทสาหร่าย จำนวน 2 ชนิดต่อปี และที่ไม่ใช่สาหร่ายอย่างน้อย 1-2 ชนิดต่อปี ซึ่งจะช่วยผลักดันมาร์จิ้นให้ดีขึ้นด้วย
ขณะที่ในต่างประเทศ โดยในประเทศอินโดนีเซีย ยอดขายยังคงดีขึ้นต่อเนื่อง และจีน ล่าสุด บริษัทได้มีการเปลี่ยนตัวแทนจำหน่ายในประเทศดังกล่าวใหม่ ก็น่าจะเห็นการทำการตลาดและยอดขายที่ดีขึ้นอย่างชัดเจนในปีหน้า รวมถึงหลังจากที่ได้เข้าซื้อกิจการประเภทขนมในสหรัฐฯ โดยใช้ชื่อแบรนด์ NORA นั้นก็ตั้งเป้ายอดขายปีนี้ 2 ล้านเหรียญสหรัฐ และเพิ่มเป็น 5 ล้านเหรียญสหรัฐในปีหน้า ซึ่งจะทำให้ถึงจุดคุ้มทุนในช่วงปลายปีหน้า ก่อนพลิกกลับมามีกำไรได้ในปี 63
ทั้งนี้ บริษัทเตรียมเสนอแผนการดำเนินงานในปี 62 ต่อที่ประชุมคณะกรรมการเพื่ออนุมัติในช่วงปลายปีนี้ และน่าจะเปิดเผยแผนได้ในต้นปีหน้า
"เราอยู่ระหว่างปรับเป้าหมายขององค์กรใหม่ จากเดิมที่เคยตั้งเป้าไว้ว่าเราจะเป็นผู้ผลิตสาหร่ายและส่งออกไปตลาดโลก โดยเป้าหมายใหม่นี้เราจะเปิดกว้างกว่าเดิม เพื่อทำให้บริษัทมีการเติบโตต่อเนื่อง และช่วยให้ TKN ยังสามารถขยายไปสู่ตลาดโลกได้เหมือนเดิม รวมถึงมีการแตกไลน์ธุรกิจออกไป ซึ่งจะเป็นการปรับโครงสร้างองค์กรไปสู่ระดับโลก ที่จะทำให้ทุกคนมีโอกาสเสนอโปรเจ็คต์ และมีความคิดที่หลากหลายมากขึ้น"นายคู่สูรย์ กล่าว
นายคู่สูรย์ กล่าวว่า ราคาสาหร่ายขณะนี้เริ่มดีขึ้น ตามช่วงฤดูกาลที่มีสภาพอากาศดีขึ้น ส่งผลต่อซัพพลายมีมากขึ้นกว่าดีมานด์ ส่งผลดีต่อต้นทุนวัตถุดิบ ก็จะช่วยสนับสนุนอัตรากำไรขั้นต้น และอัตรากำไรสุทธิในปีหน้าปรับตัวดีขึ้นตามไปด้วย โดยบริษัทตั้งเป้าหมายอัตรากำไรขั้นต้นในปี 62 จะเพิ่มขึ้นแตะ 33% และถ้าไม่มีปัจจัยลบก็จะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 35% ได้ จากปัจจุบันอยู่ที่ 31%
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/61 บริษัทคาดว่าจะเติบโตดีกว่าเมื่อเทียบกับไตรมาส 3/61 และช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากเป็นช่วงของไฮซีซั่นของธุรกิจ ที่จะมีการจับจ่ายใช้สอยในช่วงเทศกาล และนักท่องเที่ยวจีนก็เริ่มกลับมาเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้น รวมถึงในไตรมาส 4 บริษัทไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษในเรื่องของการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและเพิ่มกำลังการผลิต การปรับเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ และค่าปรับจากกระทรวงอุตสาหกรรม เหมือนในไตรมาส 3/61 แล้ว ส่วนการเปลี่ยนตัวแทนจำหน่ายสินค้าในประเทศจีน ยอมรับว่าอาจเห็นผลกระทบในช่วงต้นไตรมาส แต่เชื่อว่าจะสามารถกลับมาได้จากการส่งออกสินค้าใหม่ ๆ โดยจีนยังมีสัดส่วนยอดขายที่ 39-40% ในปีนี้ ส่งผลทำให้ทั้งปีมั่นใจว่ายอดขายจะเติบโต 12-15% ตามคาดการณ์
ปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตรวมอยู่ที่ 8.2 พันตัน/ปี หลังจากเพิ่มเครื่องจักรใหม่จะช่วยหนุนให้กำลังการผลิตในช่วงปลายปีนี้เพิ่มเป็น 1 หมื่นตัน/ปี เพื่อรองรับการขายสินค้าในปี 62
นอกจากนี้ในไตรมาส 4/61 บริษัทเตรียมเปิดธุรกิจใหม่ประเภทร้านอาหาร โดยล่าสุดได้เข้าซื้อแฟรนไชส์ร้านอาหารญุ่ปุ่น และยังได้รับสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทยในการขยายแฟรนไชส์ดังกล่าว คาดว่าจะเปิดในช่วงปลายปีนี้จำนวน 1 สาขา