นายณรงค์ชัย ปลอดมีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ไทยพาณิชย์ คาดว่า สิ้นปี 61 มูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การจัดการ(AUM) จะเพิ่มเป็น 1.5 ล้านนล้านบาทจากปี 60 ที่มี AUM 1.37 ล้านล้านบาท และคาดว่าในปี 62 จะเติบโต 7-9% ใกล้เคียงปีนี้ โดยตั้งเป้าจะมีจำนวนกองทุนที่ลงทุนหุ้น (ทั้งหุ้นไทยและหุ้นทั่วโลก) เพิ่มขึ้น และมีสัดส่วนประมาณ 35-38% โดยมีทั้งออกกองใหม่ และโปรโมทกองที่มีผลตอบแทนดี และลดจำนวนกองทุนตราสารหนี้มาที่ 60% จากปีนี้กองทุนตราสารหนี้มีสัดส่วน 68%. ส่วนกองทุนหุ้นอยู่ที่ 30%
ทั้งนี้ นายณรงค์ชัย มองว่าตลาดหุ้นไทยในเดือน ธ.ค.นี้ได้แรงหนุนจากกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF)โดยเม็ดเงิน LTF ไหลเข้ามา 4-5 หมื่นล้านบาท/ปี โดย บลจ.ไทยพาณิชย์มีเม็ดเงินในกองทุน LTF จำนวนประมาณ. 4-5 พันล้านบาท. หรือส่วนแบ่งตลาดราว. 10%. และหากสิ้นสุดปี62 ที่ไม่ให้สิทธิลดหย่อนภาษี เชื่อว่ายังไม่กระทบต่อตลาดหุ้น คาดว่าสิ้นปี 61 ดัชนีหุ้นไทย (SET) อยู่ที่ 1,700 หรือ 1.700 ต้นๆ จุด. และในปี 62 คาด SET อยู่ที่ 2,000 จุดมีปัจจัยบวกเรื่องการเลือกตั้ง และการลงทุนภาครัฐต่อเนื่อง
สำหรับภาพรวมตลาดหุ้นทั่วโลกนั้น บลจ.ไทยพาณิชย์ มีมุมมองเชิงบวก โดยมองว่าแนวโน้มการลงทุนของตลาดหุ้นทั่วโลกในระยะถัดไปคาดว่าจะฟื้นตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงที่ผ่านมานำโดยกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ ภายหลังผลการเลือกตั้งกลางเทอมเป็นไปตามที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ และประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ส่งสัญญาณว่าพร้อมที่จะร่วมมือกับพรรคเดโมแครตในการดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป ในขณะที่ตลาดหุ้นญี่ปุ่นกลับมาคึกคักอีกครั้งภายหลังผลการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นไปตามที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ ส่งผลให้มีเงินลงทุนไหลกลับเข้ามาในสินทรัพย์เสี่ยงอีกครั้ง
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นจีนที่เผชิญแรงกดดันมาเป็นระยะเวลานานก็กลับมาน่าสนใจเนื่องจากข่าวร้ายถูกรับรู้ไปมากแล้ว และมูลค่าพื้นฐานเมื่อเทียบกับราคาในปัจจุบันก็อยู่ในระดับที่น่าสนใจ
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงต้องจับตาความเสี่ยงด้านการเมืองของกลุ่มประเทศยุโรป เช่น แนวโน้มการเจรจา Brexit และการยื่นงบประมาณต่อคณะกรรมาธิการยุโรปของรัฐบาลอิตาลี เป็นต้น ซึ่งหากปัจจัยดังกล่าวมีความชัดเจนมากขึ้น ก็จะช่วยสนับสนุนตลาดหุ้นยุโรปให้ขยายตัวได้ในระยะถัดไป
นาญณรงค์ชัย กล่าวว่า บริษัทได้พัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์มและเทคโนโลยี โดยวางแผนในการจัดสรรกองทุนชนิด Electronic หรือ e-class สำหรับกองทุนประเภท Passive ที่เน้นลงทุนให้ได้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับดัชนีได้โดยกำหนดมูลค่าขั้นต่ำไว้เพียง 1 บาท และสูงสุดไม่เกิน 1 ล้านบาทเท่านั้นมีสิทธิพิเศษ คือ ไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียมการสั่งซื้อ (Front End Fee) และค่าธรรมเนียมการจัดการ (Management Fee) ถือเป็นรายแรกในประเทศไทย เพื่อให้นักลงทุนรายย่อยสามารถเข้าถึงการลงทุนได้ง่ายขึ้น ทั้งนี้ เริ่มให้บริการในช่วงกลางเดือน ธ.ค.นี้ ประเดิมกองทุนแรก บลจ.ไทยพาณิชย์เปิดให้ลงทุน e-class ของกองทุน SCB SET Index ซึ่งเป็นกองทุนหุ้นที่มีเข้าใจง่ายเพราะอิงกับตลาดหลักทรัพย์ เพื่อหวังขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น และช่วยจัดสรรการลงทุนให้มีโอกาสเพิ่มผลตอบแทนสูงขึ้น
นายณรงค์ชัย กล่าวว่า บลจ.ไทยพาณิชย์ ตั้งเป้าเพิ่มจำนวนผู้ถือหน่วย เป็น 1.5 ล้านบัญชี ใน 3 ปีนี้และจะให้เป็นบัญชี Activeทั้งหมด. จากปัจจุบันจากทั้งหมดมีจำนวนผู้ถือหน่วยรวมกว่า 8 แสนบัญชี ที่มีบัญชี Active 4 แสนบัญชี โดยเป้าหมายหลักเป็นลูกค้าที่ไม่ใช่ลูกค้าบลจ.พาณิชย์ และผู้ถือหน่วยกว่า 5 ล้านบัญชี เป็นบัญชีที่ลงทุนต่ำกว่า 1 ล้านบาท
ทั้งนี้ ผู้ลงทุนที่เปิดบัญชีกับ บลจ.ไทยพาณิชย์ สามารถเข้าไปดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นผ่าน App Store ในระบบ IOS และ Play Store ในระบบ Android ได้แล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป นอกจากนี้ยังสามารถตรวจสอบความเคลื่อนไหวในพอร์ตการลงทุนของตนเอง ซื้อ-ขาย สับเปลี่ยนกองทุนและสอบถามข้อมูล อาทิ มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ยอดคงเหลือหน่วยลงทุน สรุปการทำรายการแต่ละวัน ผลการจัดสรรหน่วยลงทุน และรายละเอียดหนังสือชี้ชวนฉบับ
"การใช้แพลตฟอร์ม Fund Click (ดิจิทัลแพลตฟอร์ม) เราต้องมองไม่ใช่ลูกค้า SCB อาจจะเป็นลูกค้าต่างจังหวัดไม่ใช่มนุษย์เงินเดือน อาจเป็น First Jober ผู้ที่มีอาชีพอิสระ ไม่จำเป็นต้องรอรวยก่อนค่อยลงทุน ลงทุนได้ง่าย มีความสะดวกสบาย ต้นทุนการลงทุนถูก เป็นการลงทุนที่สร้างความมั่งคั่ง" นายณรงค์ชัย กล่าว