นายสุขสันต์ ยศะสินธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ชโย กรุ๊ป (CHAYO) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าปี 62 รายได้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 15% โดยลงทุนซื้อหนี้เข้ามาบริหารเพิ่มอีกจำนวน 1 หมื่นล้านบาท จากแผนการลงทุนและการจัดหาเงินไว้ราว 1-1.2 พันล้านบาท โดยใช้สำหรับซื้อหนี้เพิ่ม 800-1,000 พันล้านบาท ส่วนที่เหลือใช้ในการปล่อยกู้
อย่างไรก็ดี บริษัทคาดว่าหากมีการซื้อหนี้ที่ไม่มีหลักประกันในจำนวนมากก็มีโอกาสทำให้มูลค่าหนี้ที่เข้ามาในพอร์ตมีโอกาสเกิน 1 หมื่นล้านบาท
ประกอบกับ บริษัทประเมินว่าจะได้รับผลดีจากตัวเลขหนี้เสีย (NPL) ในปี 62 ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งจากการใช้มาตรฐานบัญชีใหม่ (IFRS9) จะส่งผลให้ธนาคารเร่งขายหนี้เสียออกมา คาดว่ามูลค่าหนี้ในระบบจะอยู่ที่ระดับ 4 แสนล้านบาท แบ่งเป็นหนี้ไม่มีหลักประกันราว 1 แสนล้านบาท และหนี้มีหลักประกัน 3 แสนล้านบาท ทำให้บริษัทคาดว่ายังมีโอกาสการเติบโตอีกมาก
ทั้งนี้ แผนธุรกิจในปี 62 บริษัทเน้นกลยุทธ์เชิงรุกในทุกธุรกิจ และยังคงเน้นในการซื้อหนี้มาบริหารเป็นหลักเช่นเดิม โดยบริษัทจะมีธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้น ประกอบด้วยธุรกิจสินเชื่อบุคคล สินเชื่อนาโน และพิโก ไฟแนนซ์ ซึ่งดำเนินการภายใต้บริษัทย่อย "ชโย แคปปิตอล" และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ภายใต้บริษัทย่อย "ชโย พร็อพเพอร์ตี้ แอนด์ เซอร์วิส"
นายสุขสันต์ กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างรอการอนุมัติจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในการประกอบธุรกิจปล่อยสินเชื่อส่วนบุคคล ภายใต้บริษัทย่อย "ชโย แคปปิตอล" ซึ่งมองว่า ธปท.มีความเป็นห่วงในประสบการณ์การดำเนินธุรกิจดังกล่าวจึงขอให้ยื่นเอกสารเพิ่มเติม คาดว่าจะสามารถอนุมัติได้ภายในเดือน ม.ค.62
สำหรับความคืบหน้าการดำเนินการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ภายใต้บริษัท ชโย พร็อพเพอร์ตี้ แอนด์ เซอร์วิส คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในไตรมาสที่ 3-4/62 ปัจจุบันมีที่ดินในมือแล้ว 3-4 แปลงที่ซื้อจากสถาบันการเงินที่ขายทอดตลาด NPA มาพัฒนาต่อยอด และมีผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์เข้ามาพูดคุยด้วย 2-3 รายเพื่อร่วมทุนทำธุรกิจ ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างพิจาณาความเหมาะสมการลงทุนว่าจะดำเนินธุรกิจในรูปแบบใด โดยมีโอกาสเป็นไปได้ทั้งธุรกิจร่วมทุน, ลงทุนทำเอง หรือขายที่ดิน
ส่วนแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 4/61 บริษัทเชื่อมั่นว่าจะมีการดำเนินงานที่ดีอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาซื้อหนี้จากสถาบันการเงิน 5-6 แห่ง รวมมูลค่าหนี้ประมาณ 4-5 พันล้านบาท คาดว่าจะได้ข้อสรุปก่อนสิ้นปีแน่นอน ซึ่งจะทำให้ตลอดปี 61 บริษัทจะเข้าซื้อหนี้ไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาทตามเป้าหมาย
ณ สิ้นเดือน ก.ย.61 บริษัทฯ ได้ดำเนินการซื้อหนี้แล้ว 9,207 ล้านบาท ขณะที่มูลหนี้คงค้าง ณ ไตรมาส 3/61 อยู่ที่ 38,501 ล้านบาท แบ่งเป็นหนี้ที่ไม่มีหลักประกันประมาณ 35,780 ล้านบาท และหนี้ที่มีหลักประกันประมาณ 2,721 ล้านบาท