นายณสุ จันทร์สม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พีพี ไพร์ม (PPPM) เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจช่วงที่เหลือในไตรมาส 4/61 บริษัทยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจอาหารสัตว์น้ำ และสัตว์เลี้ยงต่อเนื่อง ซึ่งเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้หลักแก่บริษัทฯ โดยเฉพาะอาหารกุ้ง ในไตรมาส 3/61 เติบโตขึ้นมากถึง 46% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปี 60 เป็นผลจากกลยุทธ์การทำตลาดอาหารกุ้งเกรดพรีเมี่ยม ที่สร้างยอดขายให้กับบริษัทฯ อย่างต่อเนื่อง
รวมทั้งมีแผนเจาะตลาดกลุ่มใหม่ๆ ทั้งภายในและต่างประเทศ อาทิ เวียดนาม มาเลเซีย อินเดีย และจีน โดยมุ่งเน้นไปที่อาหารกุ้งกุลาดำ และกุ้งก้ามกราม เพื่อขยายฐานลูกค้าให้มากขึ้น และสร้างพันธมิตรเครือข่ายสายพันธุ์กุ้งที่มีความแข็งแกร่ง และเป็นสายพันธุ์ที่เป็นผู้นำตลาด ตลอดจนสร้างพันธมิตรเครือข่ายการรับซื้อกุ้งกุลาดำ และกุ้งก้ามกราม เพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการทำรายได้ให้แก่บริษัทฯ โดยคาดการณ์ในปี 61 นี้ จะสามารถทำยอดขายอาหารกุ้ง ได้ตามเป้าที่วางไว้ 100% หรือประมาณ 25,000 ตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มียอดขายอยู่ที่ประมาณ 18,000 ตัน หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 39%
ขณะที่รายได้จากอาหารปลายังคงทรงตัว เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปี 60 โดยยังคงเน้นรักษาฐานลูกค้าเดิม และมีแผนขยายไปยังตลาดต่างประเทศ เช่น เมียนมาร์ จีน เวียดนาม และอินเดีย ซึ่งบริษัทฯ มีตัวแทนจำหน่ายรายใหญ่ใน สปป.ลาว ที่เป็น คู่ค้าอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันบริษัทฯ ยังคงทำการตลาดภายในประเทศเป็นหลัก นอกจากนี้ยังมีแผนเจาะตลาดรับซื้อปลาสด และหาพันธมิตรเครือข่ายพันธุ์ปลา รวมทั้งเตรียมผลักดันสินค้าอาหารปลาเกรดพรีเมี่ยม เพื่อเพิ่ม Market Share ให้มากขึ้น โดยบริษัทตั้งเป้ายอดขายอาหารปลาในปีนี้ไว้ที่ระดับ 40,000 ตัน
ส่วนของอาหารสัตว์เลี้ยง (OEM) ในช่วงที่ผ่านมา ถือว่ามีออร์เดอร์จ้างผลิตเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้รายได้รวมของธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำ และอาหารสัตว์เลี้ยง ในไตรมาส 3/2561 เพิ่มขึ้น 5.42% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปี 60 ซึ่งคาดว่าจะได้ตามเป้าที่วางไว้ จากการดำเนินงานตามแผนกลยุทธ์ด้านการตลาดเชิงรุกของธุรกิจอาหารสัตว์น้ำ และสัตว์เลี้ยง ทำให้บริษัทฯ เดินหน้าตอกย้ำอัตราการเติบโตของรายได้ในปีนี้ไว้ที่ระดับ 2,000 ล้านบาท
สำหรับการลงทุนในธุรกิจพลังงานสะอาด ได้แก่ โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานความร้อน Geothermal ในประเทศญี่ปุ่นนั้น ขณะนี้ยังคงดำเนินการต่อเนื่องตามแผนการลงทุนเดิมที่วางไว้ ซึ่งได้เปิดขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) แล้ว จำนวน 15 โครงการ และอยู่ระหว่างดำเนินการเปิดเพิ่ม โดยคำนึงถึงสถานการณ์ทางการเงินของบริษัทฯ เป็นสำคัญ ส่วนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม (Wind Energy) ขนาดเล็ก 20 กิโลวัตต์ ใน Hokkaido และ Aomori ประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบันได้มีการดำเนินการติดตั้งแล้วเสร็จ 7 โครงการ ส่วนที่เหลืออีก 20 โครงการอยู่ระหว่างทยอยดำเนินการติดตั้ง
ขณะที่การลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อาคารที่พักอาศัยประเภทห้องชุดคอนโดมิเนียม ภายใต้ชื่อโครงการ "Nagomi Waterfront Tower" ที่ตั้งอยู่บนทำเลทองริมแม่น้ำ ใจกลางเมืองดานัง ประเทศเวียดนามนั้น คาดว่าจะมีความชัดเจนในปี 62
ส่วนช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถชำระหนี้หุ้นกู้สถาบันการเงินได้ตามระยะเวลาที่กำหนดมาโดยตลอด ส่งผลให้มีหุ้นกู้คงเหลือ จำนวน 904.19 ล้านบาท จากยอดหุ้นกู้ทั้งหมด 1,242.81 ล้านบาท ส่วนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน ลดลงเหลือ จำนวน 607.83 ล้านบาท จากยอดเงินกู้เดิม จำนวน 646.68 ล้านบาท และหนี้สินตามสัญญาเช่า ลดลงเหลือ จำนวน 4.51 ล้านบาท จากเดิม 4.92 ล้านบาท ดังนั้นทำให้ยอดเงินกู้ยืมระยะยาวทั้งหมด ลดลงเหลือ จำนวน 1,516.53 ล้านบาท จากเดิมที่มีเงินกู้ระยะยาว จำนวน 1,894.41 ล้านบาท ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงความแข็งแกร่ง ด้านสถานะทางการเงินของบริษัทที่มีสภาพคล่อง และมีศักยภาพในการขยายการลงทุนต่อไปในอนาคตได้อย่างต่อเนื่อง
อนึ่ง ไตรมาส 3/61 บริษัทมีรายได้รวม 544.17 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.03 ล้านบาท หรือคิดเป็น 3.04% และมี EBITDA หรือกำไรก่อนหักภาษี และดอกเบี้ยอยู่ที่ 16.99 ล้านบาท กำไรขั้นต้นลดลง 3% มีผลขาดทุนสุทธิ 53.76 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 122.14 ล้านบาท
ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน (ม.ค.- ก.ย.) มีรายได้รวม 1,520.80 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 123.54 ล้านบาท หรือคิดเป็น 8.84% จากการรับรู้รายได้ธุรกิจอาหารสัตว์น้ำ กุ้ง/ปลา และอาหารสัตว์เลี้ยง ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งรับรู้รายได้จากการลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานความร้อน Geothermal ที่ดำเนินการจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ไปแล้ว 15 โครงการ