นายเฮ็นริคคัส แวน เวสเทิร์นดรอป ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานบริหารสายการเงิน บมจ.ห้องเย็นเอเชี่ยน ซีฟู้ด (ASIAN) เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างจัดตั้งบริษัทย่อยในประเทศจีน และกำลังพัฒนาผลิตภัณฑ์กลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงภายใต้แบรนด์ของตนเองเพื่อทำตลาดในประเทศจีน และเชื่อว่าด้วยศักยภาพการเป็นผู้ผลิตชั้นนำในตลาด แบรนด์ของบริษัทมีโอกาสอันดีที่จะได้ส่วนแบ่งในตลาดจีนที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และจะเป็นช่องทางในการเพิ่มรายได้และพัฒนาอัตรากำไรขั้นต้นให้กับบริษัทในอนาคตอันใกล้
สำหรับในไตรมาส 3/61 บริษัทมีกำไรสุทธิ 147 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31% จากงวดเดียวกันปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 112 ล้านบาท โดยกำไรในไตรมาสที่ 3 นี้ทำสถิติสูงสุดรายไตรมาส โดยบริษัทมียอดขายจำนวน 2,468 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.6% จากงวดเดียวกันปีก่อน เนื่องจากยอดขายอาหารสัตว์เลี้ยงและกลุ่มผลิตภัณฑ์กุ้งที่เพิ่มขึ้นมากกว่ายอดขายกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์น้ำที่ลดลง ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 12.6% ซึ่งทำสถิติสูงสุดรายไตรมาส และเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 11% เป็นผลจากสัดส่วนยอดขายผลิตภัณฑ์กลุ่มอัตรากำไรสูงเพิ่มขึ้นในขณะเดียวกับอัตรากำไรในกลุ่มผลิตภัณฑ์ทูน่าและหมึกปรับตัวดีขึ้น เมื่อพิจารณาจากราคาขายเทียบกับต้นทุนวัตถุดิบ
อย่างไรก็ตาม ยอดขายเชิงปริมาณโดยรวมลดลง 17% เทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน เป็นผลมาจากยอดขายเชิงปริมาณในกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์น้ำลดลง แม้ว่าจะชดเชยได้บ้างจากการที่ยอดขายเชิงปริมาณที่เพิ่มสูงขึ้นในกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้น 11% เทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน และกลุ่มผลิตภัณฑ์กุ้งที่เพิ่มขึ้น 50% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน โดยในกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์ การแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในกลุ่มอาหารกุ้งและอาหารปลากะพง ประกอบกับปริมาณการเลี้ยงที่ลดลง ทำให้ยอดขายเชิงปริมาณลดลง
ส่วนยอดขายรวมเพิ่มขึ้น 4.6% จากงวดเดียวกันปีก่อน จากราคาขายเฉลี่ยของผลิตภัณฑ์กลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงและทูน่าปรับตัวสูงขึ้น และยอดขายของกลุ่มผลิตภัณฑ์แช่เยือกแข็งและกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้นเพียงพอที่จะชดเชยยอดขายผลิตภัณฑ์กลุ่มอาหารสัตว์น้ำที่ลดลง
"ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นกว่า 3% ในระหว่างไตรมาส ทำให้ราคาขายเมื่อแปลงเป็นเงินบาทปรับตัวเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ราคาขายเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ" นายเฮ็นริคคัส กล่าว
ในส่วนของความสามารถในการทำกำไร อัตรากำไรในกลุ่มธุรกิจอาหารแช่เยือกแข็ง (โดยเฉพาะในกลุ่มผลิตภัณฑ์ปลาหมึก) และกลุ่มธุรกิจทูน่าดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ประกอบกับสัดส่วนยอดขายผลิตภัณฑ์กลุ่มอัตรากำไรสูงที่เพิ่มขึ้น ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 310 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% เทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน แม้ว่าอัตรากำไรจากกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์น้ำลดลงก็ตาม ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้นราว 3% ทำให้อัตรากำไรก่อนภาษีอยู่ที่ 146 ล้านบาท และกำไรสุทธิหลังภาษีอยู่ที่ 147 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31% จากปีก่อนหน้า