นายสุขสันต์ เจียมใจสว่างฤกษ์ ประธานคณะผู้บริหาร ธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรม และกรรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) กล่าวว่า ในอีก 5 ปีข้างหน้าบริษัทได้ตั้งเป้าหมายที่จะมียอดขายจำนวนมากกว่า 600,000 ล้านบาท โดยกิจการในต่างประเทศเป็นกิจการหลักในการผลักดันการเติบโต และมีอัตราการเติบโตที่สูงกว่าประเทศไทย โดยคาดว่ากิจการในต่างประเทศจะมีสัดส่วนประมาณ 75% ของยอดขายรวม
สำหรับการการเติบโตของยอดขายที่ผ่านมาในปีนี้ ด้วยกลยุทธ์การสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับองค์กร CPF ได้มีการขยายการลงทุนไปยังประเทศที่มีศักยภาพในการเติบโตของธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนาและมีความต้องการพัฒนาการเลี้ยงสัตว์ให้ทันสมัยได้มาตรฐาน มาถึงวันนี้ได้มีการลงทุนทั้งสิ้นจำนวน 17 ประเทศ มีการขยายตัวของธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ยอดขายจากกิจการในต่างประเทศนี้คิดเป็นสัดส่วน 67% ของยอดขายรวม และในรอบระยะเวลา 9 เดือนแรกของปีนี้มีการเติบโต 12% จากระยะเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยกิจการในประเทศเวียดนามมีการเติบโตสูงสุด
ผลการดำเนินงานของ 9 เดือนแรกปีนี้ บริษัทสามารถทำกำไรได้จำนวน 13,855 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 7% ซึ่งได้รับปัจจัยหนุนจากราคาสุกรในประเทศเวียดนามและกัมพูชาที่ปรับตัวสูงขึ้นจากปีที่ผ่านมา คาดว่าผลการดำเนินงานของปีนี้น่าจะเป็นไปตามเป้าหมาย และน่าจะมีการเติบโตต่อเนื่องในปี 62 จากการขยายตัวของธุรกิจในต่างประเทศ
บริษัทตระหนักถึงภาวะเศรษฐกิจโลกที่อาจส่งผลกระทบต่ออัตราดอกเบี้ย และกำลังซื้อของผู้บริโภค จึงได้ให้ความสำคัญในการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่มีอัตราลดลง และการจัดการบริหารด้านการเงินที่มีการออกและจำหน่ายหุ้นกู้ระยะยาวที่เพื่อให้มีต้นทุนดอกเบี้ยที่ต่ำลง
นายสุขวัฒน์ ด่านเสริมสุข ประธานคณะผู้บริหาร ธุรกิจอาหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) CPF กล่าวถึงโอกาสในการขยายธุรกิจอาหารว่า บริษัทได้จัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาฯ ขึ้นเพื่อสรรสร้างสินค้าอาหารให้ตอบสนองความต้องการและพฤติกรรมของผู้บริโภคในทุกระดับอายุ รวมไปถึงสินค้าอาหารเพื่อผู้ป่วยและผู้สูงวัย มองว่าการแข่งขันในธุรกิจอาหารพร้อมรับประทานมีความท้าทายขึ้น การมีนวัตกรรมในการผลิตสินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคในท้องถิ่นต่างๆ จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนการเติบโตของธุรกิจ