PTT คาดปี 62 รายได้-กำไรโตกว่าปีนี้ ตามราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ,ตั้งงบ 4.58 หมื่นลบ. สร้างท่อก๊าซฯ-คลัง LNG

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday November 16, 2018 18:06 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายกฤช ชัยเรืองยศ ผู้จัดการฝ่ายผู้ลงทุนสัมพันธ์ บมจ.ปตท. (PTT) กล่าวว่า บริษัทคาดรายได้และกำไรสุทธิในปี 62 จะเติบโตต่อเนื่อง จากปีนี้ เป็นไปตามความต้องการใช้และราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น โดยบริษัทมองทิศทางราคาน้ำมันดิบดูไบ เฉลี่ยในปี 62 อยู่ที่ 70-80 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับปีนี้ที่คาดเฉลี่ย 70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เนื่องจากผลกระทบจากปัจจัยภายนอกประเทศ ทั้งมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านของสหรัฐฯ, วิกฤตเศรษฐกิจในเวเนซุเอลา และไนจีเรีย ส่งผลทำให้ซัพพลายลดลง

ขณะที่ธุรกิจโรงกลั่น ประเมินค่าการกลั่น (GRM) ในปีหน้าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 6.8-7.2 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ทรงตัวอยู่ในระดับสูง เนื่องจากตามข้อกำหนดขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (IMO) ที่มีมติให้จำกัดกำมะถันในน้ำมันเตาของเรือเดินสมุทรไม่เกิน 0.5% จากระดับ 3.5% ในปัจจุบัน ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในต้นปี 63 ทำให้คาดว่าผู้ประกอบการจะต้องปรับตัวตั้งแต่ปีหน้า ที่จะทำให้มีความต้องการใช้น้ำมันดีเซลผสมกับน้ำมันเตามากขึ้น เพื่อลดปริมาณกำมะถันลง อีกทั้งบริษัทจะรับรู้รายได้จากการให้ใช้ท่าเรือ-คลังก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) เพื่อรองรับการนำเข้า LNG ขนาด 1.5 ล้านตัน/ปี ในปีหน้าเข้ามาด้วย

นอกจากนี้ในปี 62 บริษัทจะไม่มีค่าใช้จ่ายในเรื่องของภาษีจากการโอนกิจการของบมจ.ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (PTTOR) จำนวน 6 พันล้านบาทเหมือนในปีนี้แล้ว

นายกฤช กล่าวว่า สำหรับแผนการลงทุนในปี 62 บริษัทวางงบลงทุนไว้ที่ 4.58 หมื่นล้านบาท โดยอยู่ในกรอบแผนการลงทุนระยะ 5 ปี (ปี 61-65) ซึ่งจะใช้ในโครงการท่อก๊าซธรรมชาติเส้นที่ 5 มูลค่า 1-2 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในปี 64 และโครงการท่าเรือ-คลัง LNG เฟส 2 คาดว่าจะแล้วเสร็จได้ในปี 65

สำหรับผลการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทคาดรายได้จะเติบโต 2-3% ตามเป้าหมาย เป็นไปตามปริมาณการขายน้ำมันที่เพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันบริษัทมีจำนวนสถานีบริการน้ำมันอยู่ที่ 1,700 แห่ง และยังมีแผนขยายสถานีบริการอย่างต่อเนื่องราว 60-100 แห่ง/ปี จากความต้องการใช้น้ำมันที่เพิ่มขึ้นปีละ 2-3% อีกทั้งรักษาระดับมาร์เก็ตแชร์ไว้ให้อยู่อันดับ 1 ต่อไป

ส่วนความคืบหน้าการนำธุรกิจถ่านหิน เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่ประเทศอินโดนีเชียนั้น ขณะนี้ก็ยังอยู่ระหว่างศึกษา ซึ่งยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะเห็นความชัดเจนในช่วงเวลาใด


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ