นายกิจจา ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ชิค รีพับบลิค (CHIC) เปิดเผยว่า บริษัทได้ร่วมมือกับพันธมิตรจากสหรัฐอเมริกา "Ashley" (แอชลีย์) แบรนด์ชั้นนำระดับโลก ผู้ผลิตและจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์รายใหญ่ที่สุดที่มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนานในสหรัฐอเมริกา เพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการเลือกซื้อของผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อ
เบื้องต้น CHIC จะนำผลิตภัณฑ์เข้ามาวางจำหน่ายใน 2 ช่องทาง ประกอบด้วย 1.เว็บไซต์ (Web order) Website: www.chicrepublicthai.com 2. ลูกค้าสามารถเลือกชมสินค้าได้ทั้ง 4 สาขา ( Offline) ได้แก่ สาขาบางนา สาขาประดิษฐ์มนูธรรม สาขาราชพฤกษ์ และสาขาพัทยา ซึ่ง CHIC ได้ปรับพื้นที่ประมาณ 1,000 ตารางเมตร ในทุกสาขาให้เป็นโซนแสดงสินค้าเฉพาะของแอชลีย์ สำหรับแผนการตลาดเบื้องต้นบริษัทจะเน้นการทำตลาดและโปรโมทสินค้าให้เป็นที่รู้จัก
"ภาพรวมธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่งบ้าน ในช่วงที่เหลือของปี 61 ตลอดจนถึงปีหน้า คาดว่าจะมีแนวโน้มเติบโตที่ดี โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-บน เนื่องจากผู้บริโภคในกลุ่มนี้มีความมั่นใจในการใช้จ่ายมากขึ้น โครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับ Hi-end ทั้งแนวราบและแนวสูงคาดว่าจะเปิดตัวมากขึ้น ปัจจัยดังกล่าวถือเป็นโอกาสที่ดีในการดำเนินธุรกิจ"
นาย Todd Wanek ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Ashley กล่าวว่า บริษัทมองเห็นโอกาสการเติบโตทางธุรกิจของตลาดในประเทศไทย ที่มีศักยภาพและมีแนวโน้มความต้องการใช้งานเฟอร์นิเจอร์ในอัตราที่สูง รวมไปถึงมีกำลังซื้อเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยความร่วมมือในครั้งนี้กับ CHIC ถือว่าเป็นพันธมิตรที่มีศักยภาพ ด้วยรูปแบบของสาขาที่เป็นโฮมแฟชั่นสโตร์ที่โดดเด่น มีเอกลักษณ์ และมีฐานลูกค้าตรงกัน จึงเป็นการช่วยส่งเสริมการขยายตลาดใหม่ให้เกิดการตอบรับที่ดี
โดย Ashley ร่วมมือกับ CHIC เพื่อนำสินค้าขยายตลาดในประเทศไทย ตามแผนขยายการเติบโตของ CHIC เชื่อว่าผลิตภัณฑ์มีคุณภาพสูงในแบบอเมริกันสไตล์ จะได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-บน จนสามารถเพิ่มยอดขายให้เติบโตได้อย่างแน่นอน
นายกิจจา กล่าวว่า เบื้องต้นบริษัทตั้งเป้าขยาย Ashley Furniture Home Store ไปยังสาขา CHIC Republic อีกราว 4 สาขา ได้แก่ สาขาเลียบด่วนฯ, สาขาบางนา, สาขาราชพฤกษ์ และสาขาพัทยา โดยตั้งงบลงทุนในการขยายสาขาละราว 1.5-2 ล้านบาท ในการก่อสร้างปรับปรุงบนพื้นที่เดิมที่มีอยู่ (renovate) ทั้งนี้งบประมาณการลงทุนต่อสาขาจะขึ้นอยู่กับขนาดของพื้นที่แต่ละสาขาด้วย
ขณะเดียวกัน บริษัทตั้งงบการตลาดไว้ที่ 3-5% ของยอดขาย จากแผนการทำการตลาดให้ Ashley เป็นที่รู้จักในไทยมากขึ้น ซึ่งจะทำการสร้างแบรนด์ผ่านการขยายช่องทางการจัดจำหน่าย ได้แก่ การขายผ่านเว็บไซต์ และการขยายร้านค้าไปยังหัวเมืองต่าง ๆ เช่น ภูเก็ต, เชียงใหม่ และอุดรธานี ตามแผนการขยายสาขาของ CHIC ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทสามารถแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดในพื้นที่ดังกล่าวได้
นอกจากนี้ บริษัทจะมีการนำเข้าสินค้าของแบรนด์ Ashley จำนวนราว 300-400 รายการสินค้า (SKU) จากโรงงานที่ได้มาตรฐานการผลิตในเวียดนามและจีน ผ่านคลังสินค้าของ Ashley เอง ซึ่งบริษัทมองว่าจะไม่มีภาระในการบริหารจัดการคลังสินค้าด้วย อย่างไรก็ดี สินค้าต่าง ๆ ที่นำเข้ามาขายมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวทั้งการออกแบบและคอนเซ็ปท์ ซึ่งมีความแตกต่างจากสินค้าของ CHIC และ RINA Hey
อย่างไรก็ดี ความร่วมมือในครั้งนี้เป็นรูปแบบของการ "ซื้อมาขายไป" ซึ่งบริษัทจะมีการรับรู้ต้นทุนคงที่ (fixed cost) อีกทั้งสามารถกำหนดราคาขายสินค้าได้ตามเหมาะสม ทำให้สามารถรับรู้เป็นรายได้และกำไรจากการขายสินค้าได้ทั้งหมด