บล.เออีซี (AEC) มองแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ยังคงแกว่งตัวในกรอบ 1,620-1,675 จุด ยังคงมีปัจจัยกดดันจากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งความกังวลในการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่จะกระทบต่อต้นทุนในการทำธุรกิจที่สูงขึ้น แต่อย่างไรก็ดี Downside Risk ค่อนข้างจำกัด จากราคาน้ำมันที่เริ่มดีดตัว อีกทั้งคาดว่าจะมีแรงซื้อจาก LTF-RMF จากงาน SET in the City
แนะนำหุ้นในกลุ่มที่น่าลงทุน ได้แก่ หุ้นกลุ่มพลังงานทดแทน เนื่องจากมองว่าหุ้นในกลุ่มดังกล่าว มีรายได้เข้ามาอย่างสม่ำเสมอโดยแนะลงทุนหุ้น SSP (แนวรับ 7.75 , แนวต้าน 8.1), BPP (แนวรับ 23, แนวต้าน 24), BGRIM (แนวรับ 25.5, แนวต้าน 27.50) นอกจากนี้ ยังแนะลงทุน หุ้นกลุ่ม Net Cash Company ในระดับ Mid to Small Cap. ที่มีเงินสดจำนวนมาก เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการขึ้นดอกเบี้ยน้อย คือ NYT (แนวรับ 5.0, แนวต้าน 5.45), SKN (แนวรับ 4.74, แนวต้าน 5.0)
และแนะลงทุนหุ้น โดยอ้างอิงกับ บริษัทที่ Fixed Coupon Rate และมีสัดส่วนเงินกู้ระยะยาวสูง ได้แก่ KTC (แนวรับ 32.5, แนวต้าน 34.5), MTC (แนวรับ 47.75 , แนวต้าน 51.25), SAWAD (แนวรับ 44.50 , แนวต้าน 47.00)
พร้อมกันนี้ ยังแนะนำให้จับตาทิศทางในต่างประเทศ ภาพรวมจะมีการเคลื่อนไหวผันผวน เนื่องจากเข้าสู่สัปดาห์ที่มีวันหยุดยาวในปลายสัปดาห์ ทำให้ปริมาณซื้อขายเบาบางกว่าปกติ และคาดว่านักลงทุนส่วนใหญ่อยู่ระหว่างติดตามจุดเปลี่ยนของ Market Factor ที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการประชุมระหว่างสหรัฐ-จีน ระหว่างงาน G20 ที่จะมีขึ้นวันที่ 30 พ.ย -1 ธ.ค. แม้จะเห็นความคืบหน้าของกรอบการแก้ปัญหาทางการค้าระหว่าง 2 ประเทศ รวมทั้งสัญญาในการหยุดหรือชะลอแผนขึ้นภาษีสินค้าจีนรอบใหม่ของสหรัฐฯ แต่ล่าสุดในงานประชุม APEC ที่ผ่านมายังพบความไม่ลงรอยกันในนโยบายของจีน (One Road One Belt) กดดันให้การเจรจาดังกล่าวมีความไม่แน่นอนสูงขึ้น
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันดิบเริ่มกลับมาสร้างฐาน และมีการคาดหวังว่ากลุ่ม OPEC จะปรับลดกำลังการผลิตในการประชุมวันที่ 6 ธ.ค.นี้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงของซาอุดิอาราเบียเปิดเผยว่ามีโอกาสที่จะปรับลดกำลังการผลิตมากถึง 1.4 ล้าน bps คิดเป็นการปรับลดกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีกราว 70% จากข้อตกลงเดิม
อีกปัจจัยที่ยังคงต้องจับตาคือ วิกฤตผู้นำอังกฤษ โดยสัปดาห์ที่ผ่านมามีรัฐมนตรีหลายคนในอังกฤษลาออก พร้อมยื่นจดหมายไม่ไว้วางใจ นางเทรีซ่า เมย์ หลังอังกฤษ และสหภาพยุโรป (อียู) มีมติผ่านร่างแผน BREXIT ที่ถูกมองว่าเป็นการออกจากอียูแบบไม่เด็ดขาด ซึ่งผิดจากวัตถุประสงค์ตอนที่อังกฤษทำประชามติ โดยปัจจุบันมีจดหมายไม่ไว้วางใจนางเทรีซ่า เมย์ ที่ถูกเปิดเผยออกมาแล้วกว่า 20 ฉบับ (ต้องการ 48 ฉบับ ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ) อย่างไรก็ดี หากในวันที่ 25 พ.ย.นี้ ยังมีจดหมายดังกล่าวไม่เพียงพอจะทำให้อังกฤษและสมาชิกอียูที่เหลือสามารถผลักดันร่างกฎหมายดังกล่าวได้ และจะทำให้ Soft BREXIT เกิดขึ้นทันกำหนดในวันที่ 29 มี.ค. 62