นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าน้าที่บริหาร บมจ.สิงห์ เอสเตท (S) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งงบลงทุนรวม 8.5 หมื่นล้านบาท สำหรับใช้ลงทุนในช่วงปี 62-66 โดยจะใช้เงินลงทุนจากกระแสเงินสดของบริษัท กำไรที่ได้จากการดำเนินงาน เงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน และการออกหุ้นกู้ ซึ่งบริษัทจะใช้ในการลงทุนต่างๆ ทั้งการลงทุนในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายและอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่า ได้แก่ ที่อยู่อาศัย โรงแรม อาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีก เป็นต้น รวมไปถึงการลงทุนเพื่อการซื้อกิจการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเดิมและธุรกิจใหม่ ซึ่งเป็นการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเป็นการรองรับต่อการเติบโตในระยะยาวของบริษัท และเป็นการกระจายความเสี่ยงของธุรกิจไปในประเทศต่างๆ
ทั้งนี้ ในปี 62 บริษัทตั้งงบลงทุนรวมไว้ที่ 2 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นงบซื้อที่ดิน 5 พันล้านบาท งบสำหรับการก่อสร้างคอนโดมิเนียมระดับบนโครงการใหม่ มูลค่าโครงการ 3-4 พันล้านบาท ก่อสร้างโครงการอาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีกโปรเจ็กต์ OASIS ติดกับอาคารบซัน ทาวเวอร์ มูลค่าโครงการ 4-5 พันล้านบาท ซึ่งใช้งบก่อสร้าง 5 พันล้านบาท
และอีก 1 หมื่นล้านบาทใช้สำหรับการซื้อกิจการทั้งโรงแรมอีก 1-2 แห่ง ที่อยู่ระหว่างการเจรจาและจะปิดดีลได้ในปีหน้า พร้อมกับการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่สร้างรายได้ประจำและมีลูกค้าใช้บริการจำนวนมากอยู่ระหว่างการศึกษา 2-3 ดีล อย่างเช่น ธุรกิจโลจิสติกส์
นายนริศ กล่าวว่า การที่บริษัทหันมาเน้นธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำเพิ่มมากขึ้น เป็นการสร้างความมั่นคงของรายได้ โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมและออฟฟิศให้เช่า โดยที่บริษัทตั้งเป้าที่จะเพิ่มสัดส่วนรายได้ประจำเป็น 50% ภายในปี 66 เพื่อทำให้สัดส่วนรายได้เกิดความสมดุลระหว่างรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์และรายได้จากอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าเป็น 50:50 จากปัจจุบันที่รายได้ประจำมีสัดส่วนน้อยกว่า 50% โดยในปี 62 หากบริษัทสามารถปิดดีลโรงแรมที่จะซื้อเข้ามาได้จะทำให้มีโรงแรมในเครือทั้งหมดเพิ่มเป็น 40-41 แห่ง จากปัจจุบันมีอยู่ 37 แห่ง และในไตรมาส 1/62 จะมีการเปิดให้บริการโรงแรมในมัลดีฟส์อีก 2 แห่ง ทำให้ในต้นปี 62 บริษัทจะมีโรงแรมทั้งหมด 39 แห่ง
"การลงทุนของบริษัทจะเน้นความยั่งยืนมากขึ้น เน้นไปที่ Recurring Income ส่วนผลตอบแทนจากการลงทุนต้องมี IRR มากกว่า 14% ขึ้นไป และมีผลตอบแทนในปีแรกไม่น้อยกว่า 8% มีการคืนทุนในช่วง 8-9 ปี"นายนริศ กล่าว
สำหรับเป้าหมายการเติบโตของรายได้ตั้งแต่ปี 62-66 จะผลักให้เติบโตมากกว่า 10% ต่อปี โดยในปี 62 จะเห็นการเติบโตของรายได้แบบก้าวกระโดด และสามารถบรรลุเป้าหมายรายได้ 2 หมื่นล้านบาทได้เร็วกว่ากำหนดที่ตั้งไว้ไนปี 63 เนื่องจากธุรกิจทั้ง 3 ธุรกิจของบริษัทสามารถรับรู้รายได้ได้เต็มปีตั้งแต่ปีหน้า ได้แก่ ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อขายจะเริ่มรับรู้รายได้มากขึ้นจากการโอนโครงการคอนโดมิเนียม THE ESSE ASOKE ที่จะเข้ามาเต็มที่ในปี 62 ราว 5 พันล้านบาท หลังจากเริ่มโอนครั้งแรกในช่วงเดือนธ.ค.61 และเริ่มโอนโครงการคอนโดมิเนียม THE ESSE at Singha Complex กลางปี 62 ซึ่งจะมีรายได้จากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายกว่า 1 หมื่นล้านบาท โดยที่ปัจจุบันบริษัทมีมูค่ายอดขายรอโอน (backlog) อยู่ที่ 1.5 หมื่นล้านบาทที่จะทยอยรับรู้ไปจนถึงปี 63
ส่วนธุรกิจโรงแรมและอาคารสำนักงานให้เช่าในปี 62 จะมีการรับรู้รายได้เข้ามาเต็มปีของเครือโรงแรม Outrigger ที่ซื้อเข้ามาในปี 61 และการรับรู้รายได้ค่าเช่าในโครงการ Singha Complex ที่ปัจจุบันมีผู้เช่าแล้ว 80% จะเริ่มเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในเดือน ม.ค. 62 อีกทั้งธุรกิจในมัลดีฟส์จะเริ่มมีรายได้เข้ามาตั้งแต่ไตรมาส 1/62 ที่จะเปิดให้บริการ 2 โรงแรม และพื้นที่เช่าคอมมูนิตี้มอลล์ คาดว่ารายได้จากธุรกิจโรงแรม อาคารสำนักงาน และในมัลดีฟส์จะสร้างรายได้ราว 1 หมื่นล้านบาทในปี 62
ทั้งนี้ การเติบโตของผลการดำเนินงานในปี 62 ที่มีแนวโน้มก้าวกระโดดนั้น ทำให้ในปีหน้าบริษัทวางแผนที่จะเดินสายให้ข้อมูลกับนักลงทุนสถาบันต่างประเทศ เพื่อทำให้สถาบันต่างประเทศรู้จักกับบริษัทมากขึ้น พร้อมกับวางแผนที่จะผลักดันหุ้นของบริษัทเข้าคิดคำนวณในดัชนี DJSI ให้ได้ในปี 66 เพื่อดึงดูดให้นักลงทุนสถาบันรายใหญ่ระดับโลกเข้าลงทุนในหุ้น S จากปัจจุบันที่ยังไม่มีสถาบันระดับโลกรู้จักมากและยังไม่มีการเข้ามาลงทุน
พร้อมกันนี้ บริษัทยังวางแผนการบริหารจัดการหนี้สินอย่างมีประสิทธิภาพ โดยที่ตั้งเป้าลดอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ให้เหลือไม่เกิน 1.2 เท่า จากปัจจุบัน 1.5 เท่า โดยบริษัทจะนำอาคารซันทาวเวอร์ A และ B พี้นที่รวม 118,828 ตารางเมตร ขายเข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เอส ไพรม์ โกรท (SPRIME) ซึ่งจะเปิดเผยรายละเอียดในวันที่ 26 พ.ย. 61 โดยเงินที่ได้จะนำมาชำระหนี้และใช้เพื่อรองรับการลงทุนอื่นๆ และจะเตรียมนำโครงการ Singha Complex เข้ากองรีทต่อไปเมื่อโครงการมีผลการดำเนินงานที่ดี