ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ.ค้าเหล็กไทย (TMT) ที่ระดับ "BBB" โดย อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งและยาวนานของบริษัทในกลุ่มผู้ค้าเหล็กที่อยู่ในธุรกิจปลายน้ำ (Downstream) รวมถึงการมีสินค้าที่หลากหลาย ฐานลูกค้าที่กระจายตัว และความสามารถในการทำกำไรที่ดีกว่าคู่แข่ง อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็มีข้อจำกัดจากความเสี่ยงของอุตสาหกรรมเหล็กซึ่งมีลักษณะเป็นวงจรขึ้นลง ตลอดจนราคาวัตถุดิบที่ผันผวน ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของผู้จำหน่ายวัตถุดิบ และแนวโน้มความเสี่ยงด้านการดำเนินงานและการเงินที่น่าจะเพิ่มขึ้นในช่วงที่บริษัทกำลังเติบโต
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
มีสถานะที่ดีในการเป็นผู้ให้บริการด้านเหล็กแบบครบวงจร สถานะทางธุรกิจของบริษัทสะท้อนถึงการเป็นผู้นำในการให้บริการสินค้าที่เกี่ยวกับเหล็กแบบครบวงจร (Steel Solution Provider) ในประเทศไทย ปัจจุบันบริษัทเป็นผู้ประกอบการที่มียอดรายได้สูงเป็นอันดับหนึ่งในกลุ่มคู่แข่งในธุรกิจปลายน้ำที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ความได้เปรียบทางธุรกิจของบริษัท ได้แก่ การให้คำปรึกษาที่เพิ่มมูลค่าแก่ลูกค้า การจัดการสินค้าคงคลังที่มีประสิทธิภาพ ความพร้อมในการจัดจำหน่ายสินค้า รวมถึงต้นทุนสินค้าที่สามารถแข่งขันได้ ซึ่งข้อได้เปรียบเหล่านี้เป็นปัจจัยที่ช่วยให้บริษัทสามารถเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดได้แม้ว่าตลาดจะมีการแข่งขันสูงก็ตาม นอกจากนี้ กลยุทธ์ทางการตลาดซึ่งให้ความสำคัญกับความต้องการของลูกค้าเป็นหลักยังช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ยาวนานกับลูกค้าซึ่งส่งผลให้ยอดขายของบริษัทเติบโตอย่างสม่ำเสมออีกด้วย
มีสินค้าที่หลากหลายและฐานลูกค้าที่กระจายตัว อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงสินค้าที่หลากหลายของบริษัทซึ่งครอบคลุมทั้งสินค้าเหล็กชนิดแบนและเหล็กชนิดยาว รวมไปถึงสินค้าเหล็กที่สั่งทำโดยเฉพาะอีกด้วย การมีสินค้าที่หลากหลายช่วยให้บริษัทสามารถเป็นผู้ให้บริการเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (One-stop Steel Supplier) ซึ่งสามารถเข้าถึงความต้องการของลูกค้าในหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งนี้ ลูกค้าของบริษัทประกอบไปด้วยผู้รับเหมาก่อสร้าง ผู้รับแปรรูปผลิตภัณฑ์เหล็ก และผู้ผลิตรถยนต์ นอกจากนี้ บริษัทยังจำหน่ายผลิตภัณฑ์ให้แก่ผู้ค้าส่งด้วยเช่นกัน
บริษัทมีรายได้จากการจำหน่ายให้แก่ผู้ค้าส่งและตัวแทนจำหน่ายคิดเป็นประมาณ 42% ของรายได้รวม ในขณะที่อีก 30% มาจากอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้าง และ 9%-10% มาจากอุตสาหกรรมยานยนต์ นอกจากนี้ การประเมินอันดับเครดิตยังพิจารณาถึงลูกหนี้การค้าของบริษัทที่มีคุณภาพดีอีกด้วย
ความสามารถในการทำกำไรที่เหนือคู่แข่ง ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทนั้นสูงกว่าและมีเสถียรภาพมากกว่าคู่แข่งโดยสะท้อนถึงมูลค่าเพิ่มที่บริษัทได้รับจากการให้บริการด้านคำปรึกษาและความสามารถในการลดผลกระทบจากความผันผวนของเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วน (Hot Rolled Coil -- HRC) ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักที่สำคัญ
นอกจากนี้ เพื่อให้อัตรากำไรมีเสถียรภาพ บริษัทจึงให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการต้นทุนค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพและการหมุนเวียนสินค้าที่รวดเร็ว ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทอยู่ระหว่าง 8%-9% โดยมีระดับสูงสุดที่ 13.7% และต่ำสุดที่ 7.1% ในขณะที่คู่แข่งซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ด้วยกันนั้นเคยมีผลขาดทุนและมีกำไรที่ผันผวนมากกว่า
ความเสี่ยงจากอุตสาหกรรมที่มีความผันผวนสูงและจากการขึ้นลงของราคาวัตถุดิบ อันดับเครดิตของบริษัทถูกลดทอนลงจากลักษณะของอุตสาหกรรมที่เป็นวงจรขึ้นลงเนื่องจากความต้องการของสินค้าเหล็กนั้นอิงกับอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างและการผลิตซึ่งมีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาวะเศรษฐกิจ ถึงแม้ว่าบริษัทจะพิสูจน์ให้เห็นว่าบริษัทมีความอ่อนไหวต่อราคาของเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนน้อยกว่าคู่แข่งรายอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม บริษัทก็ยังคงได้รับผลกระทบหากราคาเหล็กลดลงอย่างรวดเร็ว โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของบริษัทมีความผันผวนโดยอยู่ในระดับ 650-1,300 ล้านบาทในช่วงดังกล่าว นอกจากนี้ บริษัทยังเผชิญกับความเสี่ยงจากผู้จำหน่ายวัตถุดิบอีกด้วยเนื่องจากในประเทศมีผู้จำหน่ายเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนรายใหญ่เพียง 3 รายเท่านั้น อย่างไรก็ตาม บริษัทสามารถลดความเสี่ยงได้บางส่วนจากการนำเข้าเหล็กแผ่นรีดร้อนจากต่างประเทศมาทดแทนได้
ปริมาณการขายยังคงเติบโตจากโรงงานใหม่ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2561 ผลการดำเนินงานของบริษัทด้อยกว่าที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้ ถึงแม้ว่ารายได้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้น 24.6% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แต่อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้กลับลดลงเหลือ 4.5% อันเนื่องมาจากการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นจากปริมาณสินค้าที่ล้นตลาดในขณะที่ความต้องการอ่อนแอกว่าที่คาดไว้
อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่ายอดจำหน่ายของบริษัทจะยังคงเติบโตที่ระดับประมาณ 6%-10% ต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้าโดยเป็นผลจากการเพิ่มกำลังการผลิตใหม่ ปัจจุบันบริษัทยังคงอยู่ในช่วงการขยายโรงงานโดยวางแผนจะเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 1 ล้านตันต่อปี ซึ่งคาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในปี 2562 ทั้งนี้ จากข้อได้เปรียบในการแข่งขันและประวัติการเติบโตของยอดจำหน่ายในอดีต ทริสเรทติ้งจึงคาดว่ายอดจำหน่ายของบริษัทน่าจะยังคงเติบโตได้แม้ว่าการแข่งขันในอุตสาหกรรมจะสูงก็ตาม
ภายใต้สมมุติฐานขั้นพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ายอดจำหน่ายของบริษัทจะเติบโตถึงระดับ 850,000-900,000 ตันในปี 2564-2565 อัตรากำไรโดยรวมน่าจะปรับตัวดีขึ้นจากการมีขนาดของกำลังการผลิตที่เพิ่มมากขึ้นและการเพิ่มขึ้นของสัดส่วนสินค้าที่ผ่านการแปรรูปซึ่งให้อัตรากำไรที่มากกว่าสินค้าที่ซื้อมาแล้วขายไป ทริสเรทติ้งคาดว่าค่าเฉลี่ยของกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายรายปีของบริษัทจะปรับเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 1,000-1,100 ล้านบาทจากค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีที่ประมาณ 900 ล้านบาท
คาดว่าสถานะทางการเงินจะปรับฟื้นตัวดีขึ้น สถานะทางการเงินของบริษัทนั้นอ่อนแอลงจากภาระหนี้สินที่เพิ่มขึ้นอันเป็นผลจากการขยายกำลังการผลิตและการเพิ่มขึ้นของราคาเหล็กซึ่งส่งผลให้บริษัทต้องการใช้เงินทุนหมุนเวียนมากขึ้น หนี้สินทางการเงินของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเป็นประมาณ 5,100 ล้านบาท ณ เดือนกันยายน 2561 จากประมาณ 3,600 ล้านบาทในปี 2560 ในขณะที่บริษัทยังคงมีการจ่ายเงินปันผลจำนวนมากซึ่งทำให้การเติบโตของส่วนของผู้ถือหุ้นนั้นมีจำกัด ทั้งนี้ อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทเพิ่มขึ้นเกินกว่า 65% ณ เดือนกันยายน 2561
อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งประเมินว่าสัดส่วนหนี้สินต่อเงินทุนของบริษัทน่าจะฟื้นตัวหลังจากการก่อสร้างโรงงานใหม่นั้นเสร็จสิ้นในปี 2562 โดยทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนจะค่อย ๆ ปรับตัวลดลงมาสู่ระดับปกติหรือต่ำกว่า 60% ในช่วงอีก 3 ปีข้างหน้า อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายน่าจะลดลงมาอยู่ต่ำกว่า 4 เท่าและอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินน่าจะเพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 20%
สภาพคล่องมีเพียงพอ สภาพคล่องของบริษัทยังคงเพียงพอเนื่องจากภาระหนี้สินที่ต้องชำระในช่วง 12 เดือนข้างหน้าซึ่งประกอบด้วยเงินกู้ระยะสั้นจำนวนประมาณ 4,000 ล้านบาทนั้นมีลูกหนี้การค้าและสินค้าคงคลังจำนวนมากพอที่จะใช้รองรับการชำระได้ทั้งหมด นอกจากนี้ บริษัทยังมีวงเงินสินเชื่อประมาณ 5,200 ล้านบาทที่ยังไม่ได้เบิกใช้ที่สามารถเป็นวงเงินสำรองช่วยเสริมสภาพคล่องได้อีก
ทริสเรทติ้งมีหมายเหตุเพิ่มเติมดังนี้ ปัจจุบันบริษัทมีหุ้นกู้ที่ไม่ได้รับการจัดอันดับเครดิตจำนวน 1,000 ล้านบาทซึ่งจะครบกำหนดไถ่ถอนในปี 2564 โดยหุ้นกู้ชุดดังกล่าวมีเงื่อนไขทางการเงินที่กำหนดให้บริษัทต้องรักษาอัตราส่วนหนี้สินที่มีดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นกู้ที่ไม่เกิน 2 เท่า ทั้งนี้ สำหรับธุรกิจจำหน่ายสินค้าโภคภัณฑ์นั้น ทริสเรทติ้งมองว่าเงื่อนไขดังกล่าวเป็นข้อกำหนดที่เข้มงวดจนทำให้บริษัทไม่มีความคล่องตัวและอาจผิดเงื่อนไขได้โดยเฉพาะในช่วงที่บริษัทมีการขยายธุรกิจ ทริสเรทติ้งจึงคาดหวังว่าบริษัทจะมีความระมัดระวังในการจ่ายเงินปันผลเพื่อที่จะคงรักษาส่วนทุนเอาไว้
แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถรักษาตำแหน่งทางการตลาดและความสามารถในการทำกำไรที่สูงกว่าคู่แข่งเอาไว้ได้ต่อไป ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งยังเชื่อว่าบริษัทจะยังคงจัดการเงินทุนหมุนเวียนได้อย่างรอบคอบและจะยังคงวินัยในการตั้งราคาสินค้าต่อไป
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง อันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจจะปรับขึ้นหากผลการดำเนินงานของบริษัทดีกว่าที่คาดการณ์ไว้เป็นระยะเวลานาน ซึ่งอาจจะเกิดจากการที่บริษัทมีความสามารถในการทำกำไรที่ดีกว่าที่คาดไว้ หรือตำแหน่งทางการตลาดของบริษัทนั้นดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหลังจากการขยายกำลังการผลิต ในขณะเดียวกัน อันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับลดลงได้ถ้าผลการดำเนินงานของบริษัทด้อยลงกว่าที่ประมาณการไว้จนส่งผลกระทบต่ออัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมเป็นอย่างมาก แรงกดดันด้านลบต่ออันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้จากการลงทุนขนาดใหญ่โดยใช้เงินกู้เป็นหลัก หรืออาจเกิดจากความต้องการสินค้าภายในประเทศที่ลดลงเป็นระยะเวลานาน