นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เจ มาร์ท (JMART) เปิดเผยว่า บริษัทยังมีมุมมองเชิงบวกสำหรับแนวโน้มของธุรกิจในไตรมาสสุดท้ายของปี 61 โดยธุรกิจการจัดจำหน่ายมือถือ ซึ่งเป็นธุรกิจของบริษัทแกน เชื่อว่าในไตรมาส 4/61 จะเข้าสู่ช่วงที่ดีที่สุดของปี โดยมีสินค้ามือถือรุ่นใหม่ออกมาจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง และโปรโมชั่นจำหน่ายมือถือในช่วงปลายปีจากแบรนด์ต่างๆ
นอกจากนี้ การที่บริษัทได้ทำ Exclusive Partnership กับ AIS ในการจำหน่ายซิมการ์ดและบริการอื่นๆ ของ AIS ในช่องทางการจัดจำหน่ายของเจมาร์ท ซึ่งจะทำให้บริษัทสามารถจัดจำหน่ายมือถือที่มีโปรโมชั่นส่วนลดค่าเครื่องที่แข่งขันได้ และมีรายได้เพิ่มจากส่วนแบ่งรายได้ ทั้งนี้ บริษัทฯ มีเป้าหมายในการดำเนินงานร่วมกับ AIS ในการผลักดันจำนวนลูกค้า SIM Card ให้ได้ตามเป้าหมาย
ขณะที่ในปี 62 JMART จะยิ่งได้รับผลส่งกำไรจาก บมจ. เจเอ็มที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) ซึ่งทิศทางแนวโน้มของผลประกอบการจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกลยุทธ์ของ JMART จะเร่งพลิกผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทย่อยอื่นๆ ให้เติบโตกลับมาได้ เพื่อสร้างผลการดำเนินงานให้กับบริษัท JMART ได้ในปีหน้า
"กลุ่มบริษัทเจมาร์ท เป็นกลุ่มบริษัทที่เติบโตอย่างต่อเนื่องด้วยกลยุทธ์การสร้าง Synergy ร่วมกันในกลุ่มบริษัทเพื่อสร้างพลังในการเติบโตของกลุ่มธุรกิจในอนาคต พร้อมเน้นนำเอาเทคโนโยลีการเงินมาปรับใช้เพื่อรองรับกับการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจในอนาคต ซึ่งความหลากหลายของธุรกิจจะนำมาซึ่งผลการดำเนินงานที่ส่งให้บริษัทเจมาร์ทเติบโตได้ท่ามกลางการแข่งขันของธุรกิจ"นายอดิศักดิ์ กล่าว
ส่วนผลการดำเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อย ไตรมาส 3/61 มีกำไรสุทธิ 2.6 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน 98% เนื่องจาก บริษัทมีรายได้จากการขายลดลง รายได้ส่งเสริมการขายลดลง รวมถึงรายได้ค่าเช่าและค่าบริการลดลง สำหรับผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนปี 61 ขาดทุนสุทธิ 140.1 ล้านบาท เทียบกับงวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 394.1 ล้านบาท
นายสุทธิรักษ์ ตรัยชิรอาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JMT เปิดเผยถึง ผลประกอบการที่สร้างการเติบโตได้อย่างโดดเด่น รายได้รวมประจำไตรมาส 3/61 จำนวน 482.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันปีก่อน 37.6% กำไรสุทธิ จำนวน 138.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันปีก่อน 40% คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 28.7% สาเหตุที่บริษัทมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นมาจากบริษัทมีรายได้จากการเรียกเก็บหนี้จากลูกหนี้ที่รับซื้อ และรวมถึงรายได้จากการให้บริการติดตามหนี้สินและบริการอื่นมากขึ้น
ส่วนผลการดำเนินการงวด 9 เดือนปี 61 บริษัทมีรายได้รวมจำนวน 1,331.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 32.9% กำไรสุทธิ จำนวน 374.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวด 9 เดือน ปี 2560 ในอัตรา 26.1% คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 28.1% ซึ่งกำไรรอบ 9 เดือนเกือบเท่ากับกำไรสุทธิทั้งปีของปีที่ผ่านมา จึงมั่นใจว่าปีนี้น่าจะสร้างผลกำไร New High อย่างต่อเนื่อง
นายกิติพัฒน์ ชลวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ ฟินเทค จำกัด (J FINTECH) บริษัทย่อยที่ดำเนินธุรกิจทางด้านการปล่อยสินเชื่อ ภายใต้แบรนด์ "J MONEY" เปิดเผยว่า ผลประกอบการปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 3/61 ที่ผ่านมา จากการปรับนโยบายการปล่อยสินเชื่อเพื่อให้ได้ลูกค้าที่มีคุณภาพสูงขึ้น หรือลูกค้าที่มีรายได้สูงกว่า 3 หมื่นบาท และการจัดเก็บหนี้ได้ตามเป้าหมาย นอกจากนี้ บริษัทได้ขยายการทำธุรกิจไปยังการปล่อยสินเชื่อแฟคตอริ่งเพิ่มขึ้น ซึ่งมีผลตอบแทนจากการปล่อยสินเชื่อที่ดี ทำให้ยังมั่นใจได้ว่าปีหน้า 62 จะพลิกกลับเป็นกำไรได้
นายสุพจน์ วรรณา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เจเอเอส แอสเซ็ท (J) เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 3/61 มีรายได้ค่าเช่าและบริการ 154.9 ล้านบาท และขาดทุนสุทธิ 23.2 ล้านบาท โดยในส่วนธุรกิจให้เช่าและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ อยู่ระหว่างการปรับปรุงทั้งในด้านรายได้และต้นทุน โดยสินทรัพย์ที่ยังไม่อยู่ในธุรกิจหลักจะพิจารณาขายออก และพิจารณาการหาผู้ร่วมทุนในโครงการที่มีศักยภาพของบริษัท ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะได้เห็นผลตั้งแต่ไตรมาส 4/61 และไตรมาส 1/62 เพื่อสร้างผลประกอบการของบริษัทฯ ให้เติบโตขึ้น
ในส่วนธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์คอนโดมิเนียม Newera อยู่ระหว่างการเปิด Grand Opening วันที่ 24 พ.ย.61 นี้ โดยบริษัทฯ ได้ตั้งเป้าหมายที่จะโอนคอนโดมิเนียมให้กับลูกค้าภายในปี 62
นายกิตติพงศ์ กนกวิไลรัตน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ซิงเกอร์ประเทศไทย (SINGER) กล่าวว่า บริษัทเป็นผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้เครื่องหมายการค้า "ซิงเกอร์" ผ่านทางตัวแทนจำหน่ายต่างๆ มากกว่า 80% ของยอดขายเป็นการขายแบบเช่าซื้อ มีผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาส 3/61 กำไรสุทธิเท่ากับ 43.40 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 1.91 ล้านบาท คิดเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้น 2,172.25% โดยไตรมาสที่ 3 นี้มีกำไรต่อหุ้นเท่ากับ 0.16 บาท เทียบกับกำไรต่อหุ้นในไตรมาสเดียวกันปีก่อนที่เท่ากับ 0.01 บาท
รายได้รวมของบริษัทในไตรมาส 3/61 เท่ากับ 835.7 ล้านบาท เทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน ที่มีรายได้ทั้งหมด 585.4 ล้านบาท คิดเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้น 42.8% สาเหตุหลักคือการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขายสินค้าหลัก และรายได้จากค่านายหน้าจากการจัดหาสินเชื่อส่วนบุคคล ค่าธรรมเนียมการทำสินเชื่อ ค่าโอนขายสิทธิ์เรียกร้องลูกหนี้รวมทั้งการปรับปรุงรายการในอดีต
ทั้งนี้ รายได้จากยอดขายสินค้าหลักเพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากในปลายไตรมาส 1/61 บริษัทได้ปรับเปลี่ยนวิธีการให้อนุมัติสินเชื่อโดยผ่านทางตัวแทนขาย ซึ่งบริษัทจะกำหนดวงเงินและสินค้า โดยใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยคัดกรองและระบุตัวตนที่แท้จริงเพื่อป้องกันการทุจริต และตัวแทนจะต้องติดตามประสิทธิภาพการชำระหนี้ค่าผ่อนชำระของลูกค้าตัวแทนเอง ซึ่งสะท้อนสู่ผลประกอบการตั้งแต่ไตรมาส 2/61 ที่ผ่านมา