นายชเนศวร์ แสงอารยะกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ไพลอน (PYLON) กล่าวว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/61 จะเป็นไตรมาสที่มีการเติบโตสูงสุด เนื่องจากเริ่มดำเนินงานได้เต็มที่ในงานที่ได้รับมาก่อนหน้านี้ รวมถึงงานที่เลื่อนออกมาในช่วงก่อนหน้านี้ อาทิ งานรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ที่กำลังเร่งก่อสร้างในขณะนี้ ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทใช้เครื่องจักรได้อย่างเต็มกำลัง อยู่ที่ประมาณ 22 ชุด และมีอัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มเป็น 90%
และมองว่าภาพรวมอุตสาหกรรมก่อสร้างฐานรากปี 2562 ยังเป็นช่วงขาขึ้น จากงานก่อสร้างภาคเอกชนและรถไฟฟ้าสายต่างๆ รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น โครงการรถไฟเชื่อม 3 สนามบิน มูลค่า 2.5 แสนล้านบาท และยังมีการขยายสนามบินอู่ตะเภา ทางด่วนและรถไฟฟ้าสายต่างๆในเขตกรุงเทพ ซึ่งต้องมีการเจาะเสาเข็มและงานฐานราก ส่งผลบวกต่อบริษัทโดยตรง เนื่องจากบริษัทเป็นผู้ประกอบธุรกิจรับเหมาก่อสร้างงานฐานราก
"ผลประกอบการปี 2561 คาดว่าจะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ เพราะ 9 เดือนที่ผ่านมา บริษัทฯสามารถสร้างผลประกอบการทั้งในส่วนของรายได้ กำไร ได้ดีแบบก้าวกระโดด โดยเฉพาะในไตรมาส 4/61จะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุด เนื่องจากโครงการต่างๆ สามารถเดินหน้าได้เต็มที่ หลังจากล่าช้าในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา โดยบริษัทยังเดินหน้าประมูลงานใหม่อย่างต่อเนื่อง เพราะมีความพร้อมด้านเครื่องจักร อุปกรณ์ และเครื่องมือก่อสร้างที่ทันสมัย ปัจจุบันบริษัทมีงานที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) ที่ 900 ล้านบาท คาดว่าจะรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 50%" นายชเนศวร์ กล่าว
สำหรับผลประกอบการของบริษัทฯและบริษัทย่อยในงวดไตรมาส 3 ปี 2561 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2561 บริษัทฯและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 55.11 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 4.74 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 50.37 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 1,062.84 % โดยมีรายได้จากการให้บริการ 417.28 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 107.40 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 309.88 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 288.53%
ส่วนผลประกอบการของบริษัทฯและบริษัทย่อยในงวด 9 เดือน ปี 2561 ( 1 ม.ค.-สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย. 2561) บริษัทฯและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 157.48 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 76.85 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 80.63 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 104.92% ส่วนรายได้จากการให้บริการ 1,048.60 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากการให้บริการ 530.18 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 518.42 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 97.78%