นายนาวิน อินทรสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุนต่างประเทศ บลจ.กสิกรไทย เปิดเผยว่า ในระหว่างวันที่ 27 พ.ย.-12 ธ.ค.61 เตรียมเปิดเสนอขาย กองทุนเปิดเค ไชน่า คอนโทรล โวลาติลิตี้ (K-CCTV) โดยกองทุนมีนโยบายลงทุนในหุ้นจีน A-Shares (ตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้น) ผ่านกองทุนรวมต่างประเทศตั้งแต่ 2 กองทุนขึ้นไป โดยเน้นลงทุนในหุ้นจีนคุณภาพดีและมีแนวโน้มเติบโตสูง พร้อมใช้กลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงเพื่อควบคุมความผันผวนของกองทุน โดยพิจารณาปรับสัดส่วนการลงทุนที่เหมาะสมกับสภาวะตลาด
จุดเด่นของกองทุน K-CCTV คือการมุ่งเน้นสร้างผลตอบแทนในหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนในประเทศจีนซึ่งได้รับประโยชน์จากเศรษฐกิจใหม่ (New Economy) ผ่านกองทุน UBS (Lux) Investment SICAV – China A Opportunity (USD), Class P-acc ซึ่งเป็นกองทุนระดับ 5 ดาวมอร์นิ่งสตาร์ (Overall Rating, ข้อมูล ณ 31 ต.ค. 61) ที่มีผลการดำเนินงานย้อนหลังที่ดีสม่ำเสมอ และมีการกระจายลงทุนบางส่วนในกองทุน Schroder ISF China A, Class A Acc USD นอกจากนี้ผู้จัดการกองทุนจะบริหารความเสี่ยงโดยใช้ Quantitative Model ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ศึกษาและพัฒนาขึ้นโดยบลจ.กสิกรไทย ในการพิจารณาระดับความผันผวนของตลาด (Market Volatility) และสภาวะการลงทุนในแต่ละขณะ โดยปรับสัดส่วนการลงทุนจากสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง ไปยังสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า เพื่อลดความผันผวนของกองทุน
สำหรับจุดเด่นของกองทุนต่างประเทศทั้ง 2 กองทุนที่กองทุน K-CCTV ไปลงทุน ด้านกองทุน UBS (Lux) Investment SICAV – China A Opportunity (USD), Class P-acc จะเน้นลงทุนในหุ้นจีนขนาดใหญ่ (Blue-Chip) โดยคัดเลือกหุ้นเด่นประมาณ 20 บริษัทที่มีคุณภาพดี มีแนวโน้มการเติบโตของผลกำไรสูง และระดับราคาที่เหมาะสม โดยกองทุนดังกล่าวสามารถสร้างผลตอบแทนย้อนหลังสะสมสูงถึง 124% นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเมื่อ 29 พ.ย. 56 ขณะที่ดัชนีชี้วัดสร้างผลตอบแทนได้เพียง 12% (ข้อมูล ณ 30 ก.ย. 61) ด้านกองทุน Schroder ISF China A, Class A Acc USD จะเน้นลงทุนในหุ้นจีน A-Shares โดยกระจายลงทุนในหุ้นประมาณ 40-50 บริษัท พร้อมลงทุนบางส่วนในหุ้นขนาดกลางและเล็กเพื่อโอกาสรับผลตอบแทนเพิ่มเติม
"การเติบโตของเศรษฐกิจจีนยังถือว่ามีเสถียรภาพ โดยจำนวนประชากรจีนที่มีรายได้ปานกลางมีแนวโน้มขยายตัวกว่า 51% ต่อประชากรทั้งหมดภายในปี 2020 ทำให้รูปแบบการใช้ชีวิตของชาวจีนเปลี่ยนไปเพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ส่งผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจจีนในอนาคต อีกทั้งรัฐบาลจีนยังมีแผนผลักดันประเทศให้ก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจใหม่ จากเดิมที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยภาคอุตสาหกรรมการผลิตไปสู่อุตสาหกรรมการบริหารและบริการ อาทิ กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย และกลุ่มธุรกิจสุขภาพ ที่ผนวกเอานวัตกรรมต่างๆ เข้ามาเป็นองค์ประกอบสำคัญ เพื่อเสริมประสิทธิภาพการผลิต และสร้างมูลค่าเพิ่ม (High Value-added) ให้กับสินค้าที่ส่งออกไปทั่วโลก โดยจีนจดสิทธิบัตรมากขึ้นต่อเนื่องในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา หนุนการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว" นายนาวินกล่าว
นายนาวิน กล่าวเพิ่มเติมว่า ตลาดหุ้นจีน A-Shares มีความน่าสนใจ เนื่องจากเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีจำนวนหุ้นมากกว่า 3,000 ตัว และมีมูลค่าตลาดรวมกว่า 7.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก และใหญ่กว่าตลาดหุ้นจีน H-Shares เกือบ 10 เท่า ทั้งนี้ตลาดหุ้น A-Shares ยังได้รับประโยชน์จากการเข้ารวมคำนวณในดัชนีหุ้นกลุ่มประเทศเกิดใหม่ (MSCI EM) จึงคาดว่าจะมีเงินทุนไหลเข้ามาลงทุนมากขึ้นในอนาคต
นอกจากนี้ตลาดหุ้นจีน A-Shares ยังซื้อขายในระดับราคา (Valuation) ถูกกว่าตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งปัจจุบันมีอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E ratio) อยู่ที่ 10.9 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี จึงเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าลงทุนเพื่อโอกาสเติบโตในระยะยาว อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นจีนมีปัจจัยเสี่ยงที่จะต้องติดตาม อาทิ ความกังวลจากสงครามการค้าของสหรัฐฯและจีนที่คาดว่าจะยังคงมีต่อเนื่องไปจนถึงปี 2562 รวมถึงบรรยากาศการลงทุนโดยรวมของหุ้นจีน A-Shares ที่มีสัดส่วนของนักลงทุนรายย่อยสูง จึงอาจมีความผันผวนในระยะสั้นได้