นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI) เปิดเผยว่า ตั้งเป้าหมายรายได้ปี 62 จะเติบโตเป็น 1.9 หมื่นล้านบาท จากปีนี้คาดทำได้ตามเป้าหมายที่ 1.6 หมื่นล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) อยู่ที่ 3.7 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้ไปจนถึงไป 65
ทั้งนี้ในปี 62 มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่อีก 15 โครงการ มูลค่ารวม 3 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น โครงการบ้านจัดสรร มูลค่ารวม 8 พันล้านบาท และโครงการคอนโดมิเนียม มูลค่า 2.2 หมื่นล้านบาท จากปีนี้เปิดโครงการรวมทั้งสิ้น 7 โครงการ มูลค่ารวม 25,000 ล้านบาท แบ่งเป็น บ้านจัดสรร มูลค่า 3 พันล้านบาท และคอนโดมิเนียม 2.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะมุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าที่ต้องการมีบ้านหลังแรกมากขึ้น รวมถึงผู้ที่ต้องการย้ายจากบ้านมาที่คอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า
อย่างไรก็ตามบริษัทฯ มองความต้องการที่อยู่อาศัยในปีหน้ายังคงมีความต้องการสูงอยู่ และด้วยทำเลใหม่ๆ ของบริษัทฯ โดยเฉพาะพื้นที่ย่านบางนา วงแหวนตะวันออก สมุทรปราการ และพื้นที่ EEC น่าจะส่งผลดีต่อความต้องการซื้ออีกมาก ซึ่งการพัฒนาโครงการดังกล่าวบริษัทฯ มีที่ดินรองรับไว้ทั้งหมดแล้ว
สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/61 คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 3/61 โดยบริษัทฯ ยังมีแผนเปิดตัวโครงการแนวราบเพิ่มเติมอีก 2 โครงการ ได้แก่ โครงการบ้านแฝดและทาวน์โฮม บริทาเนีย เมกะทาวน์ มูลค่าโครงการ 1.9 พันล้านบาท และโครงการบ้านจัดสรร บริทาเนีย บางนา กม.12 มูลค่าโครงการ 1 พันล้านบาท ซึ่งจะเปิดตัวในวันที่ 15-25 ธ.ค.นี้ และจะเปิดขาย (Pre-sale) อย่างเป็นทางการได้ในวันที่ 14 ก.พ.62
อีกทั้งยังมีโครงการสร้างเสร็จใหม่ที่จะเริ่มทยอยรับรู้รายได้ในช่วงนี้อีก 2 โครงการ ได้แก่ โครงการ นอตติ้ง ฮิลล์ จตุจักร มูลค่า 600 ล้านบาทและ โครงการ นอตติ้ง ฮิลล์ สุขุมวิท 105 มูลค่า 2.4 พันล้านบาท โดยคาดว่าโครงการ นอตติ้ง ฮิลล์ สุขุมวิท 105 จะรับรู้รายได้ในช่วงเดือนธ.ค.นี้ เข้ามาบางส่วนประมาณ 50-100 ล้านบาท ขณะที่ส่วนใหญ่จะรับรู้ในปี 62 ทำให้ทั้งปีนี้ยอดขายจะอยู่กว่า 2.5 หมื่นล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่เคยตั้งไว้ และรายได้จะเติบโตไปตามเป้าหมายที่ 1.6 หมื่นล้านบาท
นายพีระพงษ์ กล่าวถึงราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมาค่อนข้างมากว่า ด้วย P/E ปัจจุบันที่ 4.7-4.8 เท่า ถือเป็นจุดที่น่าสนใจเข้าลงทุนแล้ว ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้เดินสายโรดโชว์ในประเทศสิงค์โปร เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน โดยปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนนักลงทุนสถาบันอยู่ที่ 15-20% ขณะเดียวกันบริษัทอยู่ระหว่างพิจารณาซื้อหุ้นคืนด้วย