นายสมเกียรติ ศิลวัฒนาวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ (STI) เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทวางแผนงานในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า ในประเด็นแรกจะยังเน้นการดูแลฐานลูกค้าเดิมในตลาดอย่างแน่นแฟ้นและให้บริการที่มีคุณภาพดีขึ้น ประการที่สองจะเน้นการพัฒนาบุคลากร ระบบไอที เพื่อรองรับการทำงานให้มีมาตรฐานสากล และก้าวสู่ความเป็นผู้นำทางด้านการบริหารและควบคุมงานก่อสร้าง และประเด็นที่สามคือ จะเน้นขยายฐานลูกค้าเข้าไปที่ส่วนของภาครัฐมากขึ้น รวมถึงมีแนวโน้มที่จะขยายงานไปสู่ประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้นด้วย
สำหรับทิศทางผลประกอบการในปีนี้ทั้งในแง่รายได้และกำไรจะทำสถิติสูงสุดใหม่ โดยรายได้ในปีนี้มีโอกาสจะเติบโตมากกว่าอัตราการเติบโตเฉลี่ยในช่วงที่ผ่านมาที่ระดับ 5% โดยในปี 60 บริษัทมีรายได้ 498.34 ล้านบาท ขณะที่ช่วงครึ่งปีหลังผลประกอบการจะเติบโตได้ค่อนข้างมากเป็นตามการรับรู้รายได้ที่เข้ามาจำนวนมาก
ปัจจุบัน บริษัทมีงานในมือ (Backlog) ราว 716.52 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ไปจนถึงปี 63 สัดส่วนรายได้มาจากงานภาคเอกชน 83.90%, ภาครัฐฯ 13.47%, ศาสนสถาน 1.37% และอื่น ๆ 1.26%
นายสมเกียรติ กล่าวว่า บริษัทประกอบธุรกิจออกแบบโครงการและควบคุมการก่อสร้าง ไม่ว่าจะเป็นโรงงาน โรงแรมอาคารสำนักงาน อาคารสูง อาคารแนวราบ หรืองานโยธาต่างๆ รวมไปถึงการตรวจสอบรับรองงาน เพื่อให้โครงการแล้วเสร็จและสามารถเปิดดำเนินการได้ตามแผนงานของผู้ว่าจ้าง นอกจากนี้ การให้บริการของกลุ่มบริษัทฯ ยังครอบคลุมไปถึงการให้บริการออกแบบงานด้านสถาปัตยกรรมและวิศวกรรม งานตกแต่งภายใน และงานอนุรักษ์โบราณสถาน
"ด้วยความที่ลูกค้าอาจจะไม่มีประสบการณ์ในเรื่องของข้อกฎหมายในการก่อสร้าง อาจจะไม่เข้าใจเนื้องานในการก่อสร้าง ราคาในการจ้างผู้ออกแบบจะเป็นเท่าไหร่ ราคาที่จะจ้างผู้รับเหมาในการก่อสร้างควรจะเป็นเท่าไหร่ ซึ่งจุดต่างๆเหล่านี้จะเป็นหน้าที่ของ STI โดยทางบริษัทจะเริ่มเข้าไปตั้งแต่ได้ทราบความประสงค์ว่าเจ้าของโครงการจะต้องทำอะไร จนไปถึงช่วงของโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จ"นายสมเกียรติ กล่าว
ณ ปัจจุบัน ศักยภาพของบริษัทไม่แพ้ใคร ซึ่งแต่ละบริษัทในเครือจะมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน โดยที่ผ่านมาได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าซึ่งส่วนใหญ่ที่เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลานับ 10 ปี และปัจจุบันก็ยังได้รับความไว้วางใจที่จะมอบหมายงานเข้ามาตลอดเวลา รวมถึงโครงการที่ปัจจุบันถือเป็นโครงการที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ก็คือโครงการ "One Bangkok" ด้วยมูลค่าเม็ดเงินก่อสร้างกว่า 1.2 แสนล้านบาท และยังมีงานโรงพยาบาลอีกหลายแห่ง
"ลูกค้าของเราเป็นลูกค้าที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์กว่า 80% และบริษัทได้รับความไว้วางใจให้ดูแลโครงการใหญ่ๆ ของประเทศอย่างต่อเนื่องมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นงานควบคุมงานก่อสร้างสถาบันวิทยสิริเมธี และโรงเรียนกำเนิดวิทย์ ห้างสรรพสินค้าเอ็มควอเทียร์ ห้างสรรพสินค้าเทอมินัล 21 ที่โคราช และปัจจุบันได้รับความไว้วางใจให้ดูแลการก่อสร้างห้างสรรพสินค้าเทอมินัล 21 ที่พระราม 3"นายสมเกียรติ กล่าว
ประกอบกับ บริษัทมีบุคลากรมืออาชีพกว่า 600 คน โดยพนักงานส่วนใหญ่ของบริษัทมีประสบการณ์กว่า 15-20 ปี และเป็นบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญมีทักษะในการทำงาน ภายหลังจากการเข้าจดทะเบียนใตตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) บริษัทคาดหวังว่าจากการนำเม็ดเงินมาก่อสร้างศูนย์ฝึกอบรม เพื่อให้พนักงานเข้ามาอบรมเสริมความรู้และเสริมสร้างอุปกรณ์ในเรื่องระบบไอทีต่าง ๆ ซึ่งจะทำให้พนักงานของบริษัทสามารถมีประสิทธิภาพในการบริหารและควบคุมงานมากขึ้น และสามารถลดต้นทุนด้านบุคลากรได้มากขึ้น ส่งผลให้ผลประกอบการดีขึ้น
"ด้วยอาชีพที่เป็นงานบริการวิชาชีพที่เฉพาะทาง พูดได้ยากว่าการแข่งขันมากหรือน้อยอย่างไร เนื่องจากที่ผ่านมาลูกค้าส่วนใหญ่จะเกิดจากการให้ความไว้วางใจในการดำเนินงาน โดยดูจากผลงานที่ผ่านมา ซึ่งหากกลับไปศึกษาประวัติของ บมจ.สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ จะเห็นได้ว่า ตั้งแต่บริษัทเปิดดำเนินกิจการมาตั้งแต่ปี 47 ถึงปัจจุบัน ย่างเข้าปีที่ 15 บริษัทได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าเดิม ๆ อย่างต่อเนื่อง และมีผลงานในอาคารสูง อาคารมิกซ์ยูส โรงแรม อย่างหลากหลายมากมาย ณ ปัจจุบันโครงการรวมของบริษัทก็เกิน 100 โครงการ ไปแล้ว และก็ยังมีความต่อเนื่องที่ยังให้งานอย่างต่อเนื่องอยู่"นายสมเกียรติ กล่าว
บริษัทยังมองโอกาสการขยายงานในต่างประเทศ โดยเห็นว่าทิศทางการเติบโตในประเทศเพื่อนบ้านมีการขยายตัวทางด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศกัมพูชา มีการขยายงานก่อสร้างจำนวนมาก ส่วนใหญ่ว่าจ้างผู้ออกแบบจากประเทศไทยไปทำงานไม่ว่าจะเป็นการก่อสร้าง โรงแรม รีสอร์ท ห้างสรรพสินค้า อาคารสำนักงาน จึงเป็นจุดที่มองว่ามีศักยภาพในการขยายธุรกิจเข้าไปเป็นลำดับต้นๆ
ในขณะเดียวกัน เมียนมาก็มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องเช่นกัน จึงเป็นประเทศที่สองที่บริษัทมองไว้ โดยปัจจุบันมีการเข้าไปดูแลทางด้านการควบคุมงานก่อสร้างของเมียนมาที่ย่างกุ้ง และกัมพูชาที่พนมเปญแล้ว แต่การจะไปขยายโดยการตั้งสำนักงานนั้นยังคงต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร
STI ทอยู่ระหว่างเตรียมระดมทุนผ่านการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 68 ล้านหุ้นโดยมีบริษัท เจย์ แคปปิตอล แอดไวเซอรี จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ทั้งนี้ เพื่อนำเงินไปลงทุนจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมทักษะความรู้พนักงาน 40 ล้านบาท ลงทุนอุปกรณ์ระบบคอมพิวเตอร์ โปรแกรมด้านการออกแบบ ควบคุมงานก่อสร้าง และการเงิน-การบัญชี ประมาณ 30 ล้านบาท ลงทุนงานระบบและระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ ประมาณ 20 ล้านบาท และส่วนที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ และเงินทุนในการเข้าลงทุนต่างๆ
"ผมมั่นใจในข้อมูลพื้นฐานของผมอย่างชัดเจน ธุรกิจของเราเป็นธุรกิจที่ว่ากันจริง ๆ ไม่ได้มีกำไรหวือหวา แต่ขณะเดียวกันธุรกิจของเราตั้งแต่ผมเปิดบริษัทมา เรามีกำไรอย่างต่อเนื่อง เรามีฐานะการเงินที่มั่นคง เราไม่เคยประสบปัญหาทางด้านการเงินเลย นอกจากนั้นบริษัทมีนโยบายในการปันผลภายหลังการเข้าตลาดชัดเจนว่าไม่ต่ำกว่า 50%"
https://youtu.be/JTSCpEaOOJM