WP หวังกำไรปีนี้นิวไฮลุ้นจบดีลขายที่ดินบุ๊คทัน Q4 พร้อมเล็งลงทุนใหม่กองเรือ-ถัง LPG-โซลาร์ฟาร์มเวียดนาม

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday November 28, 2018 10:45 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายนพวงศ์ โอมาธิกุล ผู้อำนวยการฝ่ายบัญชีและการเงิน บมจ.ดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ (WP) ผู้จำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ภายใต้แบรนด์"เวิลด์แก๊ส"ให้สัมภาษณ์กับ"อินโฟเควสท์"ว่า แนวโน้มกำไรสุทธิปีนี้มีโอกาสทำระดับสูงสุดใหม่ หลังจากช่วง 9 เดือนแรกทำกำไรแล้ว 250.35 ล้านบาท สูงกว่าทั้งปี 60 ที่มีกำไรสุทธิ 131.96 ล้านบาท โดยบริษัทอยู่ระหว่างรอการสรุปดีลขายที่ดินย่านบางคอแหลม กรุงเทพฯ 1 แปลง ขนาด 1 ไร่ 80.7 ตารางวา ซึ่งได้ผู้ชนะประมูลแล้ว เหลือเพียงขั้นตอนเอกสารก่อนจะโอนซื้อขาย หากแล้วเสร็จภายในปีนี้ก็จะสามารถบันทึกกำไรพิเศษเข้ามาได้ทันที โดยที่ดินดังกล่าวมีต้นทุนอยู่ที่ 63 ล้านบาท และมีราคาตั้งต้นในการประมูลที่ 130 ล้านบาท

ทั้งนี้ หากสามารถบันทึกกำไรพิเศษดังกล่าวได้ในปีนี้ก็จะทำให้บริษัทสามารถล้างขาดทุนสะสมที่มีอยู่ 130 ล้านบาทได้ทั้งหมด และจะกลับมามีกำไรสะสมทันที แต่จะกลับมาจ่ายปันผลสำหรับผลการดำเนินงานในงวดปีนี้ได้หรือไม่นั้น ยังต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะบริษัทมีแผนลงทุนธุรกิจใหม่เพิ่มเติมในอนาคต

"ถ้ามีตัวนี้เข้ามาก็จะบุ๊คเข้ามาก็เป็นรายการรายการหนึ่งนอกเหนือจาก operation เราก็ลุ้นให้จบภายในปีนี้ จะบุ๊คกำไรพิเศษเข้ามา ขาดทุนสะสมหาย 100% กลายเป็นมีกำไรสะสมพอสมควร แต่ก็คงไม่ได้เยอะ...ส่วนเรื่องการจ่ายปันผลต้องมาพิจารณากันอีกครั้งหนึ่ง ถ้าเกิดทุกอย่างเป็นไปตามแผน เรามีกำไรสะสมขึ้นมา ถ้าเป็นจำนวนที่เหมาะสมเราก็จ่าย แต่ถ้าไม่เหมาะสมก็อาจจะไปอีกหนึ่งปีขึ้นอยู่กับหลายๆ ปัจจัย"นายนพวงศ์ กล่าว

นายนพวงศ์ กล่าวว่า บริษัทมีเป้าหมายจะเป็นผู้นำธุรกิจพลังงานอย่างครบวงจร จากปัจจุบันที่มีเพียงธุรกิจ LPG โดยมองโอกาสขยายไปสู่ธุรกิจต้นน้ำ ได้แก่ กองเรือขนส่ง LPG และการผลิตถัง LPG คาดว่าจะเห็นภาพการลงทุนได้ในปี 62 โดยการลงทุนจะพิจารณาทั้งในส่วนของการลงทุนเอง หรือการเข้าไปร่วมเป็นพันธมิตรกับผู้ที่ดำเนินธุรกิจอยู่แล้ว วางกรอบวงเงินสูงสุดสำหรับการลงทุนทั้ง 2 ธุรกิจไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท

ส่วนธุรกิจปลายน้ำ ให้ความสนใจโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์ฟาร์ม) ในเวียดนาม ที่ตลาดยังเปิดกว้างและราคาขายไฟฟ้ายังอยู่ระดับที่ดี โดยอยู่ระหว่างเจรจาเข้าลงทุนมากกว่า 1 โครงการ ขนาดไม่เกิน 50 เมกะวัตต์/โครงการที่จะเริ่มจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ในช่วงปี 63 บางโครงการเป็นการเจรจาร่วมทุนกับพันธมิตรท้องถิ่น และบางโครงการจะร่วมกับพันธมิตรในไทย ซึ่งปัจจุบันการเจรจายังไม่แล้วเสร็จ แต่คาดว่าน่าจะสรุปได้ในปี 62

ทั้งนี้ บริษัทวางเป้าหมายระยะสั้น 3-5 ปี (ปี 62-66) โครงสร้างธุรกิจของบริษัทจะเปลี่ยนแปลง โดยความสามารถการทำกำไรจะเปลี่ยนจากปัจจุบันที่มาจากธุรกิจ LPG ทั้ง 100% เป็นมาจากธุรกิจ LPG ในระดับ 70% ส่วนอีก 30% มาจากธุรกิจอื่น ๆ

"ภาพเราคงไม่ใช่ผู้ค้า LPG อย่างเดียวแล้ว ต้องเป็นอย่างอื่นด้วย เป็นพลังงานด้วย จะเป็นพลังงานอะไรก็แล้วแต่สิ่งที่ศึกษาอยู่ ตอนนี้เราให้ความสำคัญกับ business development มาก เพราะเราต้องการขยายตัวเราเองออกจาก LPG ไปสู่พลังงานอื่น ๆ เราก็จะหาโอกาสตลอดเวลาว่าอันไหนมีโอกาสทำได้ ทำให้ธุรกิจเราเติบโตได้ สร้างความยั่งยืนให้กับตัวเราเอง เราก็พร้อม เราก็เลยให้ความสำคัญกับเรื่องนี้รวมถึงปีหน้าด้วย ปีหน้าก็จะพยายามให้เห็นการขยายไปสู่ธุรกิจอื่นนอกจาก LPG"นายนพวงศ์ กล่าว

นายนพวงศ์ กล่าวว่า สำหรับภาพรวมธุรกิจของบริษัทในปีนี้คาดว่าปริมาณการขาย LPG จะลดลงมาอยู่ที่ราว 8.3-8.4 แสนตัน จาก 8.8 แสนตันในปีก่อน เพราะการใช้ LPG ในภาคขนส่งยังหดตัวต่อเนื่อง แม้การใช้ภาคครัวเรือนและอุตสาหกรรมยังเติบโต ทำให้ภาพรวมการใช้ LPG ลดลงไม่มากนัก โดยการดำเนินธุรกิจของบริษัทก็สอดคล้องกับทิศทางเดียวกับตลาดรวม

ส่วนสถานการณ์ราคา LPG เฉลี่ยปีนี้น่าจะสูงกว่าปีที่แล้ว หลังจากช่วงต้นปีราคาตลาดโลก (CP PRICE) ยังอยู่ระดับสูงก่อนจะลดลงในช่วงเดือนมี.ค.-เม.ย. และดีดตัวขึ้นอีกครั้งในช่วงเดือนพ.ค. แต่ล่าสุดราคาลดลงมาอยู่ที่กว่า 500 เหรียญสหรัฐ/ตัน และในเดือนธ.ค.น่าจะปรับตัวลงเหลือกว่า 400 เหรียญสหรัฐ/ตัน ซึ่งเป็นภาวะผิดปกติจากที่แนวโน้มราคาจะปรับตัวขึ้นในช่วงไตรมาส 4 ที่เป็นช่วงฤดูหนาว แต่ราคาปัจจุบันปรับตัวลดลงจากความกังวลของปัญหาสงครามการค้าจีนและสหรัฐที่อาจจะกระทบต่อเศรษฐกิจโลก รวมถึงกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) คาดว่าน้ำมันจะล้นตลาดปีหน้าจากอุปสงค์ลดลง ขณะอุปทานจากกลุ่มนอกโอเปกเพิ่มขึ้น ขณะที่การเคลื่อนไหวของราคา LPG จะสอดคล้องกับทิศทางของราคาน้ำมัน

อย่างไรก็ตาม แม้รายได้ปีนี้จะถูกกระทบจากปริมาณขาย LPG ที่ลดลง แต่ความสามารถการทำกำไรของบริษัทนับว่าดีมาก โดยล่าสุดมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ระดับ 5.5-5.6% จากระดับราว 4% ในช่วงปี 58-60 จากการบริหารต้นทุนได้ดีและมีค่าใช้จ่ายลดลง ส่วนหนึ่งมาจากการทยอยปรับสัดส่วนขาย LPG ภาคขนส่งที่มีมาร์จิ้นต่ำเหลือราว 30% จาก 40% ในช่วงปี 58 และทยอยเพิ่มสัดส่วนการขายภาคครัวเรือนที่มีมาร์จิ้นสูงมาอยู่ที่ราว 54% จาก 40% ในช่วงปี 58 ส่วนที่เหลือเป็นการขายให้กลุ่มอื่น ๆ เช่น อุตสาหกรรม และผู้ค้ามาตรา 7 อื่นๆ

นายนพวงศ์ กล่าวอีกว่า สำหรับปี 62 คาดว่าปริมาณขาย LPG ของบริษัทจะอยู่ในระดับไม่เกิน 8.5 แสนตันใกล้เคียงกับปีนี้ หลังมองภาพตลาดยังไม่เปลี่ยนแปลง การใช้ก๊าซ LPG ในภาคขนส่งน่าจะทรงตัวหรืออาจปรับลงได้ไม่เกิน 2-3% ส่วนการใช้ในภาคครัวเรือนและอุตสาหกรรมน่าจะเติบโตราว 3-5% ส่วนราคา LPG ตลาดโลกน่าจะยังคงแกว่งตัว และต้องคอยติดตามสถานการณ์ต่าง ๆ จากสหรัฐและโอเปกอย่างใกล้ชิด ส่วนราคาจำหน่ายในประเทศเชื่อว่ารัฐบาลน่าจะยังคงตรึงราคาอยู่ระดับปัจจุบันที่ 363 บาท/ถัง 15 กิโลกรัมต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้บริษัทสามารถบริหารต้นทุนได้อย่างชัดเจน

ส่วนการเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นในปีหน้า อาจจะขยับขึ้นได้ไม่มากนักเพราะสัดส่วนการขายปัจจุบันนับว่าเหมาะสมแล้ว ยกเว้นหากบริษัทสามารถส่งออก LPG ไปยังประเทศเพื่อนบ้านได้มากขึ้นก็จะทำให้อัตรากำไรมีโอกาสเพิ่มขึ้นด้วย โดยปีหน้าวางเป้าหมายส่งออก LPG ประมาณเดือนละ 1 พันตัน จากปีนี้ที่ส่งออกได้เพียงเดือนละ 100 ตันเท่านั้น ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจากับผู้ที่จะซัพพลาย LPG เพื่อทำสัญญารับซื้อระยะยาว หวังว่าจะได้ข้อสรุปปีนี้เพื่อให้การส่งออกระดับดังกล่าวเริ่มตั้งแต่เดือนม.ค.62

สำหรับบริษัทจะเข้าซื้อหุ้น 80% ในบริษัท ไทยแก๊ส คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้จำหน่าย LPG ด้วยเงินลงทุน 168.8 ล้านบาทนั้น คาดว่าจะดำเนินการโอนหุ้นแล้วเสร็จภายในไตรมาส 1/62 ซึ่งบริษัทวางแผนจะพัฒนาแบรนด์"ไทยแก๊ส"ต่อไป แต่จะทำการตลาดมากขึ้นในปี 62 เพื่อให้ปริมาณขาย LPG ของไทยแก๊สเพิ่มขึ้นราว 10% มาอยู่ราว 8.8 หมื่นตัน จากระดับการขายปกติที่ราว 8 หมื่นตัน/ปี

ขณะเดียวกันก็จะทำให้มีการประสานทำงานร่วมกัน (synergy) โดยเฉพาะการใช้พื้นที่คลัง LPG ของไทยแก๊สที่มีคลังเก็บและบรรจุก๊าซ LPG ขนาดความจุ 1,800 ตัน ตั้งอยู่บนที่ดินเช่าจากการนิคมอุตสาหกรรมพิจิตร ซึ่งมีพื้นที่คลังเหลือราว 800-900 ตัน บริษัทก็จะใช้เก็บสำรอง LPG ตามกฎหมาย 1% ของปริมาณการค้า ซึ่งคลังของบริษัทไม่เพียงพอและจำเป็นต้องเช่าคลังในการเก็บสำรองดังกล่าว หากหันมาใช้คลังของไทยแก๊สก็จะช่วยลดค่าใช้จ่ายลง รวมถึงไทยแก๊สยังมีที่ดินว่างรองรับการเพิ่มจำนวนถังเก็บสำรอง LPG ได้อีกด้วยในอนาคต บริษัทก็มีโอกาสที่จะเพิ่มถังขนาด 150 ตันในช่วงครึ่งแรกปี 62 ด้วย

ปัจจุบัน WP มีคลังก๊าซ LPG 5 แห่งใน 4 จังหวัด ขนาดรวม 8,989 ตัน ได้แก่ จ.ลำปาง ,จ.ขอนแก่น ,อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา เฟส 1 และเฟส 2 และ จ.สมุทรสงคราม ขณะเดียวกันอยู่ระหว่างการก่อสร้างคลังแห่งใหม่ ใน อ.บางปะกง เป็นเฟสที่ 3 จะแล้วเสร็จก่อนปี 64 ทำให้บริษัทมีความสามารถบรรจุ LPG เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 18,000 ตัน และไม่มีความจำเป็นต้องเช่าคลังเพิ่มเพื่อรองรับการสำรอง LPG ตามกฎหมายที่จะเพิ่มเป็น 2% ของปริมาณการค้าประจำปีในปี 64 ด้วย

https://youtu.be/R_D8TO4pjLo


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ