ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) รับหลักทรัพย์เข้าจดทะเบียนใหม่เป็นหุ้นสามัญของ บมจ.เอสไอเอสบี ชื่อย่อหลักทรัพย์ SISB จะเข้าซื้อขายในกลุ่มอุตสาหกรรมบริการ เริ่มทำการซื้อขายตั้งแต่ 29 พ.ย.61
SISB ประกอบธุรกิจเป็นผู้รับใบอนุญาตจัดตั้งโรงเรียนในระบบตามพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน ประเภทโรงเรียนนานาชาติ บริษัทฯ เป็นผู้นำหลักสูตรการศึกษาของประเทศสาธารณรัฐสิงคโปร์มาใช้เป็นหลักสูตรพื้นฐานในการจัดเรียนการสอนเป็นแห่งแรกในประเทศไทย มีความโดดเด่นในด้านวิชาการ โดยเฉพาะวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ และส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้แบบ 3 ภาษา ทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาจีน โดยเริ่มต้นจัดตั้งโรงเรียนนานาชาติสิงคโปร์กรุงเทพฯ แห่งแรกขึ้นในปี 44
ปัจจุบันโรงเรียนในกลุ่ม SISB มีจำนวนทั้งหมด 5 โรงเรียน ประกอบด้วยโรงเรียนนานาชาติที่บริษัทเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตในการจัดตั้งโรงเรียนโดยตรง 4 โรงเรียน และ โรงเรียนนานาชาติซึ่งกิจการร่วมค้าเป็นผู้รับใบอนุญาตอีก 1 โรงเรียน เปิดสอนนักเรียนตั้งแต่ระดับชั้นก่อนประถมศึกษา (เตรียมอนุบาล) จนถึงระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 สามารถรองรับนักเรียนได้ถึง 4,175 คน
SISB มีทุนชำระแล้ว 470 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 680 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 260 ล้านหุ้น โดยเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดการการจำหน่ายหลักทรัพย์ ผู้ลงทุนสถาบัน ผู้มีอุปการคุณ กรรมการ ผู้บริหารและพนักงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อย และบุคลากรของโรงเรียน ระหว่างวันที่ 22-23 และ 26 พ.ย.61 ในราคาหุ้นละ 5.20 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 1,352 ล้านบาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 4,888 ล้านบาท โดยมี บล.ฟินันเซีย ไซรัส เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
นายยิว ฮอค โคว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SISB เปิดเผยว่า การระดมทุนจากการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการเติบโตในอนาคตของบริษัทฯ ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการพัฒนาเพื่อยกระดับการเป็นผู้ให้บริการการศึกษาที่มีมาตรฐานระดับสากล เพิ่มศักยภาพของนักเรียนให้ทัดเทียมระดับโลก มุ่งสู่การเป็นโรงเรียนนานาชาติชั้นนำในประเทศไทยและในภูมิภาค และชำระคืนเงินกู้ยืม เพื่อให้ฐานะการเงินแข็งแกร่งขึ้น
SISB มีผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 ลำดับแรกหลัง IPO ได้แก่ นายยิว ฮอค โคว ถือหุ้น 32.84% กลุ่มนางสาววิลาวัณย์ แก้วกนกวิจิตร ถือหุ้น 29.15% และ นางสาวนงค์นภา ทองมี ถือหุ้น 10.56% ทั้งนี้ ราคาหุ้นสามัญที่เสนอขาย IPO หุ้นละ 5.20 บาท คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) ที่ 59.59 เท่า ซึ่งคำนวณจากผลกำไรสุทธิ 4 ไตรมาสที่ผ่านมา (1 ต.ค.60-30 ก.ย.61) ซึ่งเท่ากับ 82.02 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ (fully diluted) 940 ล้านหุ้น คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.09 บาท
ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิจากงบการเงินเฉพาะของบริษัท หลังหักภาษีและการจัดสรรทุนสำรองตามกฎหมาย
นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของ SISB มั่นใจว่าหุ้น SISB จะได้รับการตอบรับอย่างดีจากนักลงทุน เนื่องจากนักลงทุนมีความเข้าใจในลักษณะธุรกิจ และโครงสร้างรายได้ที่มีความสม่ำเสมอไม่ผันผวนของธุรกิจโรงเรียนมากขึ้น รวมทั้งบริษัทมีโอกาสเติบได้โตอีกมาก เพราะจากการระดมทุนในครั้งนี้ บริษัทจะนำเงินไปชำระคืนหนี้ซึ่งจะประหยัดภาระดอกจ่ายปีละประมาณ 30 ล้านบาท และจะทำให้ SISB เป็นบริษัทที่ปลอดหนี้ (Debt Free) ส่งผลให้สัดส่วนหนี้สินต่อทุนที่มีภาระดอกเบี้ยลดลงเหลือต่ำกว่า 0.5 เท่า จากเดิม 2.97 เท่า ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทมีความมั่นคงและแข็งแรงมากขึ้น
"ฐานะการเงิน SISIB มีความแข็งแกร่ง อัตรากำไรขั้นต้นสูงเกือบ 40% ล่าสุดในงวด 9 เดือนปี 61 อยู่ที่ระดับ 38.79% ด้วยการเติบโตของจำนวนนักเรียนที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปีจะทำให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวขึ้น เพราะต้นทุนค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่คงที่ ขณะที่ EBITDA สามารถเติบโตได้ทุกๆ ปี โดย 9 เดือนอยู่ที่ 187.69 ล้านบาท และหลัง IPO ภาระดอกเบี้ยจะลดลง ทำให้กำไรสุทธิปรับตัวขึ้น ถือเป็นหุ้นที่มีคุณสมบัติเป็น Growth Stock ของจริง"นายสมภพ กล่าว
นอกจากนี้ การมีฐานะเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาด mai จะทำให้เข้าถึงแหล่งทุนที่มีต้นทุนต่ำ สามารถนำมาต่อยอดและพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนให้มีความทันสมัย และมีศักยภาพในการรับนักเรียนเพิ่มได้มากถึง 4,000 คน ภายใน 3-5 ปี จากปัจจุบันที่มีนักเรียนทั้งกลุ่มอยู่ประมาณ 2,334 คน จะเห็นว่า SISB มีความพร้อมในด้านเงินทุน ที่จะพัฒนาการเติบโตแบบก้าวกระโดดได้ในอนาคต
นาย ยิว ฮอค โคว เปิดเผยว่า หุ้นของ SISB พร้อมเข้าทำการซื้อขายในตลาด mai วันพรุ่งนี้ มั่นใจว่าเป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง ผลประกอบการเติบโตต่อเนื่องทุกปี รวมทั้งมีผู้บริหาร และทีมงานมีประสบการณ์ด้านการจัดการธุรกิจการศึกษากว่า 17 ปี รวมทั้งเป็นผู้นำหลักสูตรการเรียนการสอนของประเทศสิงคโปร์ติดอันดับ TOP 5 ของโลกเข้ามาใช้เป็นหลักสูตรในไทยรายแรก
สำหรับผลการดำเนินงาน ล่าสุดงวด 9 เดือนของปี 61 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 71.54 ล้านบาท สูงสุดรอบ 3 ปี (58-60) โดยในปี 58 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 50.43 ล้านบาท ปี 59 มีกำไรสุทธิ 69.83 ล้านบาท และปี 60 มีกำไรสุทธิ 17.92 ล้านบาท ทั้งนี้ สาเหตุที่กำไรปี 60 ลดลงส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของค่าเสื่อมและภาระดอกเบี้ย
"ที่ผ่านมา SISB มีรายได้โตสม่ำเสมอ เฉลี่ยสูงถึง 20% ต่อปี ล่าสุด 9 เดือนของปีนี้มีรายได้รวม 690 ล้านบาท และมีรายได้รอรับรู้ในมืออีกประมาณ 636 ล้านบาท เป็นรายได้จากค่าธรรมเนียมแรกเข้า และค่าธรรมเนียมในการศึกษา ซึ่งจะทยอยรับรู้อย่างต่อเนื่อง ขณะที่จำนวนนักเรียนเพิ่มขึ้นทุกปีเฉลี่ยประมาณ 250 คนต่อปี มีค่าธรรมเนียมการศึกษาเฉลี่ยต่ออยู่ที่ 4 แสนบาทต่อปีต่อคน จึงทำให้ SISB มีรายประจำสม่ำเสมอต่อเนื่อง หรือ Recurring Income อย่างแท้จริง"นายยิว ฮอค โคว กล่าว
ส่วนแนวโน้มธุรกิจการศึกษาอยู่ในทิศทางที่ดี ซึ่งจำนวนโรงเรียนนานาชาติในไทยมีจำนวนเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 6-8% ปัจจุบันอยู่ที่ 182 แห่ง ขณะที่จำนวนนักเรียนในระบบโรงเรียนนานาชาติเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจึงเชื่อว่าธุรกิจโรงเรียนนานาชาติยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก