นายชนัตถ์ สรไกรกิติกูล ประธานกรรมการการเงินและบริหารความเสี่ยง บมจ.แพรนด้า จิวเวลรี่ (PDJ) เปิดเผยว่า รายได้งวดปี 62 จะเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก หรือไม่ต่ำกว่า 10% จากงวดปี 61 เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้ดำเนินการปรับปรุงกระบวนการสายการผลิต และควบคุมต้นทุนในการผลิต รวมถึงจัดการปัญหาภายในองค์กร โดยเริ่มทยอยเห็นผลตั้งแต่ในช่วงไตรมาส 3/61 ที่ผ่านมา ทั้งนี้จะส่งผลดีอย่างเห็นได้ชัดเจนตั้งแต่ไตรมาส 2/62 เป็นต้นไป
ขณะที่ธุรกิจการจัดจำหน่ายอัตรากำไรขั้นต้นที่ปรับตัวได้ดีขึ้น เพราะการปรับกลยุทธ์การดำเนินงาน และควบคุมต้นทุนให้อยู่ระดับที่เหมาะสม ส่วนธุรกิจค้าปลีกคาดว่ายอดขายจะทยอยปรับตัวได้ดีขึ้น และในปีหน้าจะเน้นการขยายตลาดเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่องด้วย ทั้งการขยายตลาดด้านออนไลน์ และขยายสาขา จากปัจจุบันมีสาขาทั้งหมดราว 50 สาขา
สำหรับการดำเนินธุรกิจในช่วงไตรมาส 4/61 มีแนวโน้มเติบโตและสามารถรักษาอัตรากำไรในเกณฑ์ดีอย่างต่อเนื่องทั้ง 3 ธุรกิจ เป็นผลจากธุรกิจการผลิตรับรู้รายได้ต่อเนื่อง จากคำสั่งซื้อของฐานลูกค้าเดิมซึ่งมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น จากกำลังซื้อของผู้บริโภคในสหรัฐอเมริกาที่ฟื้นตัวดี อีกทั้งบริษัทมีโอกาสขยายฐานลูกค้าใหม่เพิ่มเติมในกลุ่มลูกค้าที่สนใจย้ายฐานผลิตเข้าสู่ประเทศไทยมากขึ้น เนื่องจากได้รับผลกระทบจากความไม่ชัดเจนของสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา
"แนวโน้มธุรกิจในไตรมาส 4/61 จะสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และสามารถรักษาอัตรากำไรในเกณฑ์ที่ดีอย่างต่อเนื่องทั้ง 3 ธุรกิจ โดยเป็นผลจากธุรกิจการผลิตที่รับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง จากคำสั่งซื้อของฐานลูกค้าเดิมซึ่งมีแนวโน้มที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และกำลังซื้อของผู้บริโภคในสหรัฐ"
ด้านธุรกิจการจัดจำหน่ายอัตรากำไรขึ้นต้นปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการปรับกลยุทธ์การดำเนินงานและควบคุมต้นทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ขณะที่ธุรกิจค้าปลีกคาดว่ายอดขายจะทยอยปรับตัวดีขึ้นในช่วงไตรมาส 4 ซึ่งถือเป็นไฮซีซั่นของธุรกิจ
"จากการปรับกลยุทธ์ในทั้ง 3 ธุรกิจของบริษัทในช่วงที่ผ่านมา ปัจจุบันเห็นผลที่ค่อนข้างชัดเจนทั้งอัตรากำไรขั้นต้น และกำไรจากการดำเนินงาน โดยเฉพาะฐานการผลิต ที่สามารถเพิ่มปริมาณการผลิตได้ดีขึ้น ลดปริมาณการสูญเสีย สามารถควบคุมต้นทุนได้ดีอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทยังคงมุ่งเน้นการเติบโตของฐานการผลิตซึ่งเป็นสัดส่วนรายได้หลักให้มีเสถียรภาพมากขึ้น และหากการดำเนินงานทั้ง 3 ธุรกิจสามารถเติบโตได้ตามแผนที่วางไว้ คาดว่าในปี 62 บริษัทมีโอกาสที่จะขยายการเติบโตในธุรกิจอื่นๆ ลำดับต่อไป" นายชนัตถ์ กล่าว
สำหรับผลประกอบการงวด 9 เดือนปี 61 บริษัทมีรายได้รวม 2,039.67 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 108.47 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีผลขาดทุน 143.80 ล้านบาท กำไรขั้นต้นดีที่สุดในรอบ 2 ปีอยู่ที่ 603.04 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้น 29.57% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรขั้นต้น 575.83 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้น 26.19%
ส่วนผลประกอบการไตรมาส 3/61 มีรายได้รวม 716.07 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 627.23 ล้านบาท จำนวน 88.84 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 14.16% กำไรจากการดำเนินงาน (EBIT) กลับมาเป็นบวกอยู่ที่ 7 ล้านบาท