นายธีรภัทร์ เพ็ชรโปรี ผู้อำนวยการสายงานการเงินและบัญชี บมจ.เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย (JKN) กล่าวถึงความคืบหน้าการผลิตรายการข่าวธุรกิจเพื่อออกอากาศช่อง JKN CNBC (เคเบิล แซทเทิลไลท์) ว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างสตูดิโอ และจัดเตรียมบุคลากรเพื่อผลิตคอนเทนท์รายการข่าวภาคภาษาไทย ตามรูปแบบคอนเทนท์ภายใต้แบรนด์ CNBC ที่ได้ลิขสิทธิ์จาก National Broadcasting Company Universal (NBC) สหรัฐฯ โดยคาดว่าจะดำเนินการออกอากาศได้ภายในไตรมาส 2/62 และรับรู้รายได้เข้ามาทันที
ทั้งนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างเจรจากับสถานีโทรทัศน์ทีวีดิจิทัล จำนวน 3-4 ราย เพื่อผลิตและจำหน่ายคอนเทนท์ออกอากาศในประเทศไทย โดยตั้งเป้านำเสนอคอนเทนท์ผ่านช่องทีวีดิจิทัลช่องละ 1 รายการ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่บริษัทจะขยายการลงทุนไปสู่การเป็นผู้ผลิตคอนเทนท์เพื่อจำหน่าย จากเดิมที่เป็นผู้จัดจำหน่ายคอนเทนท์ระดับสากล ซึ่งคาดหวังว่าจะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยผลักดันการเติบโตของบริษัทฯ
"ช่อง JKN CNBC ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างสตูดิโอ ก็คาดว่าจะเริ่มออกอากาศได้ภายในไตรมาส 2/26 ซึ่งจะเป็นการผลิตคอนเทนท์ครั้งแรกของบริษัทฯ ในรูปแบบของ CNBC ที่จะนำมาตัดต่อ แปล และพากษ์เสียงภาษาไทย ส่วนการเจรจาเพื่อเข้าซื้อหุ้นช่อง Money Channel จาก GRAMMY เพื่อใช้ออกอากาศคอนเทนท์ของ CNBC นั้น เราได้ยกเลิกดีลนี้ไปแล้ว และไม่มีความสนใจที่จะเข้าลงทุนในช่องดังกล่าวอีก เนื่องจากล่าสุด ช่อง Money Channel ได้ประกาศยุติการออกอากาศไปแล้ว"
นายธีรภัทร กล่าวอีกว่า บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ปี 62 จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 15% ซึ่งยังไม่ได้นับรวมการรับรู้รายได้จาก JKN CNBC แต่เป็นไปตามธุรกิจจำหน่ายคอนเทนท์ในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะในต่างประเทศ บริษัทคาดว่าจะมีสัดส่วนรายได้เพิ่มเป็น 30-35% จากปีนี้คาดอยู่ที่ 20-25% ด้วยการขยายฐานผู้ชมในต่างประเทศมากขึ้น โดยบริษัทตั้งเป้าภายใน 3-5 ปีจากนี้จะต้องเป็นผู้จัดจำหน่ายคอนเทนท์ชั้นนำในภูมิภาค และก้าวต่อไปสู่การเป็นผู้จัดจำหน่ายคอนเทนท์ระดับโลก ซึ่งจะมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเพิ่มเป็น 50% หรือเท่าเทียมกันกับรายได้ในประเทศ
ขณะเดียวกันในปี 62 บริษัทฯ วางงบลงทุนเบื้องต้นไว้ที่ 800 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีนี้ เพื่อใช้ในการซื้อคอนเทนท์ รวมถึงการลงทุนด้าน Production
นายธีรภัทร์ กล่าวว่า ส่วนในช่วงที่เหลือของปีนี้ บริษัทได้ลูกค้าใหม่ช่อง 5 เพิ่มเข้ามา ส่งผลต่อรายได้น่าจะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ที่ 20% อีกทั้งยังมีการเจรจาเพื่อจำหน่ายคอนเทนท์ซีรี่ย์อินเดียและฟิลิปปินส์ให้กับกลุ่มทีวีดิจิทัลในประเทศเพิ่มเติมอีก 2-3 ราย