นายวิกิจ ถิรวรรณรัตน์ นักวิเคราะห์อาวุโส บล.พัฒนสิน คาดว่าปีนี้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์จะอยู่ที่ 953 จุด โดยดัชนีในระดับสูงสุดอยู่ที่ 1,067 จุด และต่ำสุดที่ 610 จุด พร้อมมองว่าแนวโน้มดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในปีนี้จะเริ่มปรับตัวขึ้นได้ประมาณปลายเดือน ก.พ.-มี.ค.51 หลังจากที่เริ่มมีรัฐบาลใหม่แล้ว จากที่ช่วงต้นปีดัชนีปรับลดลงซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการเลือกตั้ง และอีกส่วนมาจากการปรับพอร์ตเพื่อให้เกิดส่วนลดที่น่าสนใจ
โดยในปีนี้หุ้นที่มีแนวโน้มอัตราการเติบโตได้ดีขึ้น คือ หุ้นกลุ่มธนาคาร, กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม, กลุ่มสื่อสาร และกลุ่มก่อสร้างและวัสดุก่อสร้าง โดยเห็นว่านักลงทุนต่างชาติยังคงให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเท่ากับปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี ปัจจัยเสี่ยงด้านการเมืองที่จะส่งผลต่อตลาดหุ้นในระยะยาวนั้นเชื่อว่าไม่น่าจะมี เพียงแต่อาจมีผลบ้างในระยะสั้นเท่านั้น แต่ความเสี่ยงสำคัญที่จะทำให้ตลาดหุ้นมีความผันผวนและกดให้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลดลงได้คือ ภาวะเศรษฐกิจในสหรัฐฯ โดยเชื่อว่าจะส่งผลทางด้านจิตวิทยาต่อตลาดหุ้นไทยและจะเป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากราคาน้ำมัน, เงินบาทแข็งค่า และภาวะเงินเฟ้อ
โดยปัจจัยด้านราคาน้ำมันนั้น หากเป็นช่วงขาขึ้นก็จะมีผลต่อหุ้นในกลุ่มพลังงาน ขณะที่ปัจจัยด้านเงินเฟ้อ ที่มีผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศนั้น จะมีผลต่อหุ้นกลุ่มสินค้าเกษตร เช่น บมจ.น้ำมันพืชไทย(TVO) และ บมจ.น้ำตาลขอนแก่น(KSL)
นายวิกิจ กล่าวต่อว่า ในปีนี้ปัจจัยที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยคงไม่ใช่การหวังพึ่งพาภาคการส่งออก เนื่องจากสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดหลักสำคัญของไทยมีภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง แต่สิ่งที่จะเข้ามาช่วยทดแทนได้คือภาคการบริโภคและการลงทุนในประเทศ
โดยหุ้นกลุ่มที่จะได้รับประโยชน์จากภาวะดังกล่าว คือ หุ้นในกลุ่มธนาคาร โดยธนาคารขนาดใหญ่ เช่น ธนาคารกสิกรไทย(KBANK), ธนาคารกรุงเทพ(BBL) และธนาคารไทยพาณิชย์(SCB) ส่วนธนาคารขนาดเล็ก คือ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา(BAY) และธนาคารนครหลวงไทย(SCIB)
รวมถึงหุ้นในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม เช่น บมจ.อมตะ คอร์ปอเรชั่น(AMATA) และ บมจ.สวนอุตสาหกรรมโรจนะ(ROJANA) และหุ้นในกลุ่มบริโภค เช่น บมจ.ซีพีออลล์(CPALL)
สำหรับหุ้นที่จะได้รับประโยชน์จากภาวะเงินเฟ้อโลก จะเป็นหุ้นในกลุ่มที่สามารถรับแต่แรงเสียดทานของเงินเฟ้อได้ดี คือ หุ้นในกลุ่มสื่อสาร เช่น บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส(ADVANC) และ บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น(DTAC) โดยระบุว่าหุ้น DTAC มีความน่าสนใจมากกว่าจากที่จะมีการนำระบบ 3G มาใช้ในปีนี้ซึ่งจะทำให้ช่วยลดต้นทุนของบริษัทลงได้
นายวิกิจ ยังแนะนำนักลงทุนระยะสั้นที่ถือพอร์ต 2-3 เดือน ว่าหากต้องการได้กำไรอย่างน้อย 4% ขึ้นไป ควรเล่นหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผล และมีความเสี่ยงน้อย เช่น TVO, บมจ.เดลต้า อิเล็คทรอนิคส์(ประเทศไทย) (DELTA), ธนาคารทิสโก้(TISCO), บมจ.ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น(TICON) เป็นต้น
ขณะที่นักลงทุนระยะ 6 เดือนขึ้นไป หากเห็นว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นแรงก็แนะนำให้ขายทำกำไรได้ เพราะถือเป็นโอกาสที่ดี โดยเลือกลงทุนกับหุ้นในกลุ่มที่มีกำไรสุทธิสูงและมีการจ่ายเงินปันผลสูงกว่าดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล
--อินโฟเควสท์ โดย อภิญญา วุฒิเมธากุล/กษมาพร โทร.0-2253-5050 อีเมล์: kasamarporn@infoquest.co.th--