สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยการดำเนินคดีด้วยมาตรการลงโทษทางแพ่งกับนายศุภนันท์ ฤทธิไพโรจน์ อดีตกรรมการและผู้บริหารของ บมจ.อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ เอ็นเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่น (IFEC) กรณีไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบความระมัดระวัง และความซื่อสัตย์สุจริต จนเป็นเหตุให้บริษัทได้รับความเสียหาย
ก.ล.ต. ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้ถือหุ้นของ IFEC จึงตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า ในช่วงเดือน พ.ค.-ก.ย.61 นายศุภนันท์ ขณะกระทำผิดเป็นกรรมการและผู้บริหารของ IFEC มีพฤติกรรมขัดขวางไม่ให้จัดประชุมคณะกรรมการและผู้ถือหุ้นเพื่อเลือกตั้งกรรมการแทนตำแหน่งที่ว่างตามมาตรา 83 แห่งพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 ทำให้ IFEC ไม่สามารถกลับมาบริหารกิจการได้ตามปกติ โดยมีรายละเอียดดังนี้
เมื่อวันที่ 17 พ.ค.61 กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ได้รับจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการของ IFEC เหลือ 3 คน ได้แก่ นายศุภนันท์ พลตรีบุญเลิศ แจ้งนพรัตน์ และนายฉัตรณรงค์ ฉัตรภูติ ซึ่งต่อมาในวันที่ 18 พ.ค.61 พลตรีบุญเลิศได้เรียกประชุมคณะกรรมการในวันที่ 23 พ.ค.61 โดยแจ้งว่าเป็นกรณีรีบด่วนเพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมาย อย่างไรก็ดี นายศุภนันท์ได้แจ้งยกเลิกและไม่เข้าร่วมการประชุมในวันดังกล่าว โดยไม่มีเหตุอันควร
และในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของฝ่ายจัดการ นายศุภนันท์ไม่อำนวยความสะดวกให้มีการประชุมคณะกรรมการ โดยปิดล็อคห้องที่ใช้สำหรับการประชุมคณะกรรมการและไม่ให้ฝ่ายจัดการของ IFEC เข้าร่วมประชุม กรรมการที่เหลือ 2 ราย ของ IFEC จึงต้องไปใช้ห้องประชุมของบริษัทย่อยที่อยู่ภายในอาคารเดียวกันแทน
การประชุมคณะกรรมการครั้งนั้น มีมติให้ IFEC เตรียมการประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อเลือกตั้งกรรมการแทนตำแหน่งที่ว่างทั้งหมด โดยเปิดโอกาสให้ผู้ถือหุ้นรายเดียวหรือหลายรายที่ถือหุ้นรวมกันไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 เสนอรายชื่อผู้ที่มีความเหมาะสมเข้าดำรงตำแหน่งกรรมการของ IFEC และสั่งให้นายศุภนันท์เปิดเผยมติคณะกรรมการผ่านระบบสารสนเทศของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แต่นายศุภนันท์ไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าว และไม่ให้ความร่วมมือในการประชุมเตรียมการในวันที่ 19 มิ.ย.61 ด้วย
ต่อมายังปรากฏข้อเท็จจริงว่า ฝ่ายจัดการของ IFEC ไม่ยอมรับเอกสารการเสนอชื่อผู้ที่มีความเหมาะสมเพื่อเข้ารับการเลือกตั้งเป็นกรรมการจากผู้มีสิทธิเสนอรายชื่อ ตลอดจนโต้แย้งเงื่อนไขการเสนอรายชื่อผู้ที่มีความเหมาะสมเข้าดำรงตำแหน่งกรรมการ ทำให้เกิดความล่าช้าในการพิจารณารายชื่อผู้ที่จะเสนอให้ผู้ถือหุ้นเลือกในการประชุมผู้ถือหุ้นที่จะจัดขึ้น ซึ่งหากนายศุภนันท์ให้ความร่วมมือกับกรรมการทั้ง 2 ราย ย่อมจะไม่เกิดความล่าช้าดังกล่าว
นอกจากนี้ การที่นายศุภนันท์โต้แย้งและไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลแพ่งที่เพิกถอนมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นสามัญประจำปี 2560 ที่แต่งตั้งนายธีติพันธ์ เทพผดุงพร เป็นกรรมการของ IFEC และคำสั่งกรมพัฒนาธุรกิจการค้าที่ไม่รับจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการ (นายธีติพันธ์ นายวิภู มหารักขกะ และนายมนูศักดิ์ เดียววาณิชย์) รวมทั้งคำสั่งกรมพัฒนาธุรกิจการค้าที่รับจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการของ IFEC เหลือ 3 คน เป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับ IFEC และผู้ถือหุ้น
การกระทำของนายศุภนันท์ข้างต้น ทำให้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่ IFEC กำลังประสบอยู่ เช่น ปัญหาหนี้สิน ปัญหาการส่งงบการเงิน ปัญหาการถูกเพิกถอนจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน และปัญหาการแต่งตั้งผู้สอบบัญชี ได้ทันกับสถานการณ์ที่มีความเร่งด่วน จึงเป็นการไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ ความระมัดระวัง และความซื่อสัตย์สุจริต จนเป็นเหตุให้บริษัทได้รับความเสียหาย เข้าข่ายเป็นความผิดตามมาตรา 89/7 และมีบทกำหนดโทษตามมาตรา 281/2 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซี่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2559
คณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษทางแพ่ง (ค.ม.พ.) มีมติให้ ก.ล.ต. นำมาตรการลงโทษทางแพ่งมาบังคับใช้กับนายศุภนันท์ โดยกำหนดให้ชำระเงินค่าปรับทางแพ่ง จำนวน 750,000 บาท กำหนดระยะเวลาห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์เป็นเวลา 10 ปี และให้ชดใช้ค่าใช้จ่ายเนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิดแก่ ก.ล.ต. จำนวน 110,042 บาท รวมเป็นเงิน 860,042 บาท
ทั้งนี้ การกำหนดระยะเวลาห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทที่ออกหลักทรัพย์และบริษัทหลักทรัพย์ในกรณีนี้หากนายศุภนันท์ยินยอมปฏิบัติตามมาตรการลงโทษทางแพ่ง จะมีผลนับตั้งแต่วันที่ลงนามในบันทึกการยินยอม ซึ่งจะนับระยะเวลาซ้อนกับกรณีที่ ก.ล.ต. เคยสั่งห้ามนายศุภนันท์เป็นกรรมการและผู้บริหารของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์กรณีอาศัยข้อมูลภายในขายหุ้น IFEC เป็นเวลา 2 ปี นับตั้งแต่วันที่ 5 กันยายน 2561*
ในกรณีที่นายศุภนันท์ไม่ยินยอมปฏิบัติตามมาตรการลงโทษทางแพ่งที่ ค.ม.พ. กำหนด ก.ล.ต. จะมีหนังสือขอให้พนักงานอัยการดำเนินการฟ้องเป็นคดีต่อศาลแพ่งเพื่อให้ได้รับโทษในอัตราสูงสุดตามที่กฎหมายกำหนด ประกอบด้วย การขอให้ชำระเงินค่าปรับทางแพ่ง การห้ามซื้อขายหลักทรัพย์หรือเข้าผูกพันตามสัญญาซื้อขายล่วงหน้า การกำหนดระยะเวลาห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์ และการให้ชดใช้ค่าใช้จ่ายเนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิดแก่ ก.ล.ต. ด้วย