นายเฮนรี ชาน รองประธานกรรมการบริษัทและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.คิง ไว กรุ๊ป (KWG) เปิดเผยว่า บริษัทวางแผนพัฒนาที่ดินในจังหวัดฉะเทริงเทรา พื้นที่ 2,000 ไร่ หรือ 3.2 ล้านตารางเมตรที่บริษัทได้ซื้อที่ดินมามูลค่า 1.7 พันล้านบาท โดยแบ่งการพัฒนาเป็นเฟสต่างๆ เตรียมยื่นเสนอแผนการลงทุนต่อคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) หรือบอร์ดอีอีซี ในวันที่ 3 ธ.ค.เพื่อขออนุมัติการลงทุนในพื้นที่ดังกล่าว
การลงทุนในเฟสแรกจะประกอบด้วยโครงการสมาร์ทซิตี้ ศูนย์การค้า สวนสนุก และศูนย์สุขภาพ พื้นที่ 480,000 ตารางเมตร บนพื้นที่ 300 ไร่ เงินลงทุน 3 พันล้านบาท แต่ยังไม่ชัดเจนว่าจะเริ่มก่อสร้างในปีได เพราะการลงทุนจะเป็นการร่วมมือกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญและมีเงินทุนสนับสนุนในการลงทุนของโครงการที่พันธมิตรสนใจเข้าร่วมลงทุน ส่วนในเฟสอื่นๆจะทยอยออกแบบและเริ่มพัฒนาหลังจากเฟสแรกมีความคืบหน้าไปมากแล้ว
ส่วนที่ดินในอยุธยามีพื้นที่ราว 4.2 ล้านตารางเมตร บนที่ดิน 2,600 ไร่ จะพัฒนาให้เป็นพื้นที่แบบผสมผสานเพื่อใช้ประโยชน์ทางการศึกษา การพาณิชย์ การค้าปลีก การเป็นที่อยู่อาศัย การจัดกิจกรรมสันทนาการและการโรงแรม โดยมีเป้าหมายของการดำเนินโครงการในเฟสแรก คือ การพัฒนาอาจารย์ผู้สอนระดับปริญญาตรีและระดับบัณฑิตศึกษาและการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เพื่อพัฒนาทุนมนุษย์ให้มีความสามารถพิเศษ มีวิสัยทัศน์สากลและมีเครือข่ายระดับนานาชาติ โดยอาศัยความสัมพันธ์ในระดับสูงระหว่างบริษัทกับมหาวิทยาลัยชั้นนำในสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งจะดึงมหาวิทยาลัยชั้นนำจากจีนเข้ามาเปิดในพื้นที่ดังกล่าว
ด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยในปี 62 บริษัทวางแผนเปิดโครงการใหม่ราว 6-8 โครงการ โดยที่เบื้องต้นมี 3 โครงการใหม่ที่มีที่ดินแล้ว และจะเปิดการขายในปีหน้า ได้แก่ โครงการคอนโดมิเนียมย่านสุขุมวิท 31 และพระราม 4 ส่วนโครงการแนวราบจะเปิดโครงการวิลล่าย่านวัชรพล จำนวน 81 ยูนิต ราคาขาย 10 ล้านบาท/ยูนิต มูลค่ากว่า 1 พันล้านบาท ซึ่งจะเปิดการขายในช่วงต้นปี 62
นายเฮนรี ชาน กล่าวว่า โครงการวิลล่าจะเป็นโครงการที่สร้างรายได้ให้กับบริษัทในปี 62 ซึ่งปัจจุบันรายได้หลักของบริษัทมาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า และธุรกิจประกัน ส่วนคอนโดมิเนียมย่านศรีนครินทร์ได้โอนไปครบทั้งหมดแล้ว ซึ่งเป็นโครงการเก่าก่อนที่กลุ่มผู้ถือหุ้นใหม่เข้ามาบริหารงาน ทำให้ปี 62 จะไม่มีรายได้จากการโอนโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยเข้ามา ทำให้บริษัทต้องพัฒนาโครงการแนวราบเพื่อสร้างรายได้เข้ามาชดเชยโครงการคอนโดมิเนียมที่หายไป
ล่าสุด บริษัทได้เปิดโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ S61 SUKHUMVIT BY KWG มูลค่าโครงการ 1.5 พันล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียมแห่งแรกของบริษัทในประเทศไทย โดยจะเปิดขายอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ธ.ค. 61 พร้อมวางเป้าหมายปิดการขายภายในปี 62 โดยโครงการดังกล่าวเป็นคอนโดมิเนียมหรูแบบ Low Rise สูง 8 ชั้น 2 อาคาร บนเนื้อที่ 1 ไร่ 1 งาน 98 ตารางวา รวมห้องชุดพักอาศัยจำนวน 126 ยูนิต หรือ 9 ยูนิต/ชั้น ขนาด 40-160 ตารางเมตรต่อยูนิต ราคาขายเริ่มต้นที่ 192,000 บาท/ตารางเมตร หรือ ราคาเริ่มต้นที่ 7.69-10 ล้านบาท/ยูนิต
สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาขาดทุนเกือบ 50 ล้านบาท เป็นผลมาจากการเข้าลงทุนในธุรกิจประกันในช่วงต้นปี 61 แต่แนวโน้มในระยะต่อไปยังไม่สามารถประเมินได้ เพราะบริษัทยังต้องมีการลงทุนโครงการขนาดใหญ่อีกมาก ซึ่งทำให้มีค่าใช้จ่ายในการลงทุนเพิ่มขึ้น และโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ที่เพิ่งเปิดการขายไปจะไปโอนครั้งแรกในช่วงต้นปี 63 ทำให้รายได้ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายยังไม่เข้ามามากในปี 62
ส่วนเงินลงทุนที่จะใช้ขยายธุรกิจก็ได้มีการศึกษาการใช้แหล่งเงินทุนต่างๆ ซึ่งการลงทุนในพื้นฉะเทริงเทรา และอยุธยา อาจจะมีการออกหุ้นกู้ การร่วมทุนกับพันธมิตร และเงินกู้จากสถาบันการเงินผสมกันตามความเหมาะสม นอกจากนี้การขยายธุรกิจในอนาคต อาจจะมีการขยายธุรกิจเทรดดิ้งออนไลน์เช่นเดียวกับคิง ไว กรุ๊ป ประเทศจีน ซึ่งจะทำให้คิง ไว กรุ๊ป ประเทศไทย มี 3 ธุรกิจเหมือนประเทศจีน จากปัจจุบันมี 2 ธุรกิจ คือ ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจประกัน
นายเฮนรี ชาน กล่าวอีกว่า ภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย แม้ตลาดในปีที่ผ่านมาจะเติบโตไม่มากนัก แต่เศรษฐกิจไทยในภาพรวมยังคงมีแนวโน้มที่ดีขึ้น เนื่องจากรัฐบาลมีโครงการมากมายสนับสนุนให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ระบบขนส่งมวลชนที่ทำให้การคมนาคมสะดวกขึ้น หรือแพลตฟอร์มต่างๆ ของภาครัฐเพื่อสนับสนุนการเติบโตของภาคธุรกิจ
จากการสนับสนุนของรัฐบาลและจำนวนชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย จะส่งผลให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์สามารถเติบโตไปได้ดี โดยเฉพาะแผนการขยายเมือง และกลยุทธ์การสร้างไทยให้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจในอาเซียน ซึ่งในปัจจุบันเห็นได้ว่าไม่ได้มีเพียงคนไทยเท่านั้นที่ลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แต่มีนักลงทุนต่างชาติมากมายโดยเฉพาะจีนที่เข้ามาลงทุนในธุรกิจคอนโดมิเนียม และด้วยแผนการขยายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของบริษัท ประเทศไทยจะได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดีจากนักลงทุนทั้งในไทยและต่างชาติด้วย