บล.เอเซีย พลัส รายงานว่า แรงกดดันจากทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นลดลงไประดับหนึ่ง หลังประธาน Fed มีมุมมองว่า อัตราดอกเบี้ยเข้าใกล้จุดที่เหมาะสม ส่งผลทำให้ผลตอบแทนการลงทุนในหุ้นทั้งไทยและต่างประเทศเป็นบวก 0.80% และ 3.59% ตามลำดับ ดึงให้ผลตอบแทนของพอร์ตรวมสัปดาห์ที่ผ่านมาอยู่ที่ 1.21%
สำหรับทิศทางในสัปดาห์นี้ (3-7 ธ.ค.)เชื่อว่าตลาดหุ้นยังน่าจะมี Momentum ปรับตัวขึ้นได้ต่อ แต่ทั้งนี้ ต้องติดตามพัฒนาการของสงครามการค้าใกล้ชิดยิ่งขึ้น หลังจากที่ผู้นำ สหรัฐฯ-จีน ได้มีการเจรจากันเมื่อ 30 พ.ย.61 ที่ผ่านมา คงน้ำหนักการลงทุนในหุ้นไทย 35% และหุ้นต่างประเทศ 25%
สำหรับตราสารหนี้ เชื่อว่าแรงกดดันจากดอกเบี้ยขาขึ้นที่เบาลง น่าจะส่งผลทำให้ความเสี่ยงต่อการปรับลดลงของราคามีน้อยลง อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องเน้นไปที่ตราสารที่เป็น Investment Grade และอายุไม่เกิน 2 ปี โดยคงน้ำหนักการลงทุนไว้ที่ 15% และ Money Market อีก 15%
ภายใต้สภาพแวดล้อมทางพื้นฐานในปัจจุบันเชื่อว่าที่ระดับ PER15เท่าหรือเทียบเท่า SET Indexบริเวณ 1620 จุดน่าจะทาหน้าที่เป็นแนวรับที่แข็งแกร่งโดยหากพิจารณาในเชิงของ FundFlow คาดว่าแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติในช่วงเดือนธันวาคมน่าจะบางลงเนื่องจากเข้าใกล้เทศกาลปีใหม่ขณะที่สถาบันในประเทศก็น่าจะมีเงินไหลเข้าจากการซื้อ LTF/RMF
ในส่วนของพัฒนาการของปัจจัยทางการเมืองพบว่ากำหนดการเลือกตั้ง 24ก.พ.62 เป็นรูปธรรมมากขึ้นตามลำดับโดยวันที่ 7ธ.ค.61 จะมีการหารือร่วมระหว่างคสช. กกต.และตัวแทนพรรคการเมือง ซึ่งน่าจะเห็นลำดับเหตุการณ์ที่จะนาไปสู่การเลือกตั้งชัดเจนถือเป็นปัจจัยบวกสำหรับตลาดหุ้นอย่างไรก็ตามยังต้องระวังความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกเฉพาะอย่างยิ่งสงครามการค้า