อสังหาฯพร้อมใจขึ้นราคาบ้านสร้างใหม่ปีนี้โอดน้ำมันดันต้นทุนพุ่งเกินรับ

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday January 14, 2008 12:21 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          แนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ปี 51 หลายฝ่ายยังมองด้านบวก แม้ปีนี้ราคาบ้านอาจสูงขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมัน ซึ่งขณะนี้ผู้ประกอบการหลายรายเตรียมปรับขึ้นอย่างน้อย 5-10% ตามต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น และลดขนาดโครงการลงเพื่อให้สามารถโอนและรับรู้โครงการได้เร็ว เพื่อรักษายอดขายไว้ หวังหากการเมืองมีความชัดเจนช่วยกระตุ้นการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ และการใช้จ่ายของภาครัฐ ซึ่งจะช่วยฟื้นความเชื่อมั่นของผู้บริโภคได้ 
นายประสงค์ เอาฬาร ประธานคณะกรรมการธุรกิจการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และนายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า ราคาน้ำมันและต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นราคาบ้านและที่อยู่อาศัยอีก 5-7% ภายในปีนี้
อย่างไรก็ตาม การปรับราคาขายที่อยู่อาศัยในช่วงแรก ผู้ประกอบการจะยังคงปรับขึ้นในส่วนที่จำเป็น โดยจะพยายามรักษาระดับราคาไม่ให้สูงมาก เนื่องจากดีมานด์ในตลาดยังไม่แข็งแรง จากปัจจัยดังกล่าวจะทำให้ในปีนี้ผู้ประกอบการทุกรายจะมีกำไรจากผลประกอบการเฉลี่ยลดลง เพราะยังต้องแบกรับภาระต้นทุนให้ผู้บริโภคเพื่อรักษายอดขายและตลาดให้มีอัตราการเติบโตเท่าเดิม และอาจปรับรูปแบบบ้านให้มีขนาดเล็กลงและราคาขายที่ต่ำลง รองรับกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลงตามแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง
*SPALI-NCH-PS-PRECHA-PF พร้อมใจขยับขึ้นราคาบ้านใหม่ LPN คงราคา
นายประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ศุภาลัย(SPALI)คาดว่า ราคาบ้านที่สร้างใหม่ในปี 51 จะปรับขึ้นประมาณ 5-10% ตามต้นทุนการก่อสร้างปรับตัวสูงขึ้นจากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ต้นทุนที่ดินจะสูงขึ้น ส่วนหนึ่งเพราะความเจริญที่เปลี่ยนไป และราคาประเมินที่ดินที่เป็นมาตรฐานหลักปรับสูงขึ้น รวมทั้งต้นทุนวัสดุก่อสร้าง ค่าแรงงานที่ปรับสูงขึ้น การป้องกันแผ่นดินไหวของอาคารสูง ปัจจัยของสิ่งแวดล้อม
ด้านนายสมเชาว์ ตัณฑเทอดธรรม กรรมการผู้จัดการ บมจ.เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง(NCH)เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทมีแผนปรับขึ้นราคาขายบ้านเพิ่มอีก 5-10% ทั้งโครงการใหม่และโครงการเก่า เนื่องจากจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ราคาวัตถุดิบปรับเพิ่ม ทำให้ต้นทุนปรับขึ้นตาม
อย่างไรก็ตาม จากปัจจัยความต้องการของผู้บริโภคในการซื้อบ้านชะลอลงในปีที่ผ่านมาบริษัทได้วางแผนในการรองรับด้วยการลดขนาดบ้านให้เล็กลงขณะเดียวกันราคาขายบ้านก็จะปรับลดลงตามขนาดบ้านด้วย
นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท(PS) เตรียมปรับราคาขายบ้านในโครงการใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 2-3% ทั้งนี้ บริษัทยังสามารถควบคุมต้นทุนวัสดุก่อสร้างซึ่งเป็นต้นทุนหลักในระยะนี้ได้ เนื่องจากมีการสั่งซื้อล่วงหน้าไว้แล้วจำนวนหนึ่ง จึงทำให้ต้นทุนรวมไม่ได้ปรับสูงขึ้นมากเหมือนผู้ประกอบการรายอื่น และยังสามารถตรึงราคาขายบ้านในโครงการเดิมไว้ได้
นายวรยุทธ์ พงษ์สุวรรณ กรรมการ บมจ.ปรีชากรุ๊ป(PRECHA)เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนปรับราคาขายบ้านโดยเฉพาะโครงการที่ก่อสร้างใหม่ในปีนี้เพิ่มขึ้น 5-8% หลังจากที่บริษัทได้ประเมินสถานการณ์อสังหาริมทรัพย์พบว่าต้นทุนค่าก่อสร้างปรับเพิ่มขึ้น ประมาณ 10% จากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ตามในการปรับราคาคงจะไม่สามารถปรับได้มากเพราะภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ในขณะนี้ยังไม่ดี
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนในการที่จะปรับขนาดโครงการให้เล็กลงมาอยู่ที่มูลค่าโครงการประมาณ 600-800 ล้านบาทหรือประมาณ 30-50 ไร่จากเดิมที่มูลค่าโครงการบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 1-2 พันล้านบาทเนื่องจากหากมีโครงการที่มีขนาดเล็กจะทำให้สามารถโอนและรับรู้โครงการได้เร็วเพราะปัจจุบันบริษัทมีโครงการเก่าที่ยังโอนไม่หมด
นายธีระชัย มโนมัยพิบูล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค (PF) กล่าวว่า อยู่ระหว่างการพิจารณาปรับราคาขายบ้านเพิ่ม 3-5% แต่อย่างไรก็ตามในการปรับราคาจะเริ่มจากบ้านสั่งสร้างก่อนในไตรมาส 1 ปีนี้ส่วนบ้านพร้อมอยู่คงปรับราคาขายในไตรมาส 2 ได้เพราะยังมีสต็อควัสดุก่อสร้างไว้ นอกจากนี้ยังมีต้นทุนที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากค่าธรรมเนียมในการโอนที่เพิ่มขึ้น พร้อมปรับราคาขายบ้านจาก 5 ล้านบาทมาอยู่ที่ 3 ล้านบาท
ขณะที่ นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ. แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ (LPN) กล่าวว่า ถึงแม้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่จะเตรียมทยอยปรับราคาขายบ้านเพิ่มขึ้น แต่ในส่วนของบริษัทคงจะยังไม่ประกาศการปรับราคาขายบ้านในช่วงนี้ เพราะบริษัทยังสามารถจัดการกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากโครงการก่อสร้างคอนโดมีเนียมซึ่งเป็นธุรกิจหลักได้ ถึงแม้การสร้างโครงการคอนโดฯจะมีต้นทุนทางอ้อมที่มากกว่าโครงการแนวราบก็ตาม ส่วนการโครงการแนวราบที่ส่วนใหญ่มองว่าจะปรับตัวดีขึ้นในปีนี้นั้นเพราะในช่วงที่ผ่านมามีโครงการข้างสต็อคอยู่จำนวนมากทำให้ผู้ประกอบการพยายามที่จะระบายของออกมาขาย
*คาดรัฐบาลใหม่ช่วยกระตุ้นกำลังซื้อบ้านช่วงครึ่งปีหลัง
นายมานพ พงศฑัต อาจารย์พิเศษ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 51 ยังมีโอกาสที่จะขยายตัวมากกว่าปีก่อน โดยมีปัจจัยหลักมาจากกลุ่มคนชั้นกลางรุ่นใหม่ในเมืองใหญ่ ๆ มีมากขึ้น ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้มีชีวิตที่ทันสมัย มีการจับจ่ายใช้สอยตามเทรนด์ของตลาดจะทำให้เกิดการซื้อขายมากขึ้น ทำให้ที่อยู่อาศัยสำหรับชนชั้นนี้จะขายดี
ด้านนายประสงค์ ยังเชื่อว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะปรับตัวดีขึ้นได้ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ หลังจากปี 50 ไม่สามารถเติบโตได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากผู้ซื้อยังรอความชัดเจนในด้านการเมืองและเศรษฐกิจ
แต่ปีนี้หากรัฐบาลใหม่เร่งกระตุ้นการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ และการใช้จ่ายของภาครัฐ ซึ่งจะช่วยฟื้นความเชื่อมั่นของผู้บริโภคได้ ซึ่งคาดว่าในปีนี้จะเติบโตได้ 3-5% หรือคิดเป็นการจดทะเบียนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 75,000 ยูนิต
นายประสงค์ คาดว่า ในปี 51 บ้านเดี่ยวยังครองส่วนแบ่งตลาดรวมอยู่ 50% ทาวน์เฮาส์จะมีสัดส่วนอยู่ที่ 20% ส่วนคอนโดมิเนียมหรืออาคารชุดจะมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 20% และบ้านแฝดจะมีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 10%
“ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเติบโตของตลาดอสังหาฯในปี 51 นี้ ยังคงให้น้ำหนักกับการเมืองสูงถึง 70% ในขณะที่ราคาน้ำมันจะเป็นปัจจัยรองลงมา โดยมีน้ำหนักที่ 20% ส่วนเรื่องการแข็งค่าเงินบาทนั้น จะมีผลต่อการเติบโตของตลาดอสังหาฯอยู่ประมาณ 10%"นางประสงค์ กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ