นายชัชชัย สิริวิชช์ ผู้จัดการแผนกนักลงทุนสัมพันธ์ บมจ.ไทยออยล์ (TOP) เปิดเผยว่า บริษัทคาดกำไรสุทธิปี 61 มีโอกาสที่จะปรับตัวลดลงจากปี 60 ที่มีกำไรสุทธิ 24,856 ล้านบาท หลังจากช่วง 9 เดือนแรกปีนี้ทำกำไรสุทธิได้เพียง 14,961 ล้านบาท เนื่องจากในปี 60 ถือเป็นปีที่ดีของบริษัทเพราะมีกำไรจากสต็อกน้ำมันจำนวนมาก และผลิตภัณฑ์ของบริษัทก็มีมาร์จิ้นที่สูง
สำหรับแนวโน้มค่าการกลั่น (GRM) ในไตรมาส 4/61 คาดว่าจะเฉลี่ยอยูที่ 5-6 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และมีโอกาสจะยืนต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาส 1/62 ซึ่งจะสูงกว่าระดับ 5 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลในช่วงไตรมาส 3/61 เนื่องจากไตรมาสสุดท้ายของปีถือเป็นช่วงที่มีความต้องการใช้น้ำมันมากขึ้นในฤดูหนาว และรับอานิสงส์การเดินทางที่ส่งผลให้มีการใช้น้ำมันอากาศยานด้วย ทำให้คาดว่ากำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่ม (GIM) ในปี 62 จะเฉลี่ยอยู่ที่ 7-8 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นผลจากแนวโน้มค่าการกลั่นปรับตัวได้ดีขึ้น
ส่วนความคืบหน้าการลงทุนโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project :CFP) มูลค่าลงทุน 4,825 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยคาดจะเริ่มก่อสร้างในปี 62 และจะแล้วเสร็จในปี 66 ซึ่งโครงการนี้จะช่วยเพิ่มกำลังการกลั่นน้ำมันเป็น 400,000 บาร์เรลต่อวัน จากปัจจุบันอยู่ที่ 275,000 บาร์เรลต่อวัน ทั้งนี้คาดว่าโครงการดังกล่าวจะช่วยเพิ่มกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เพิ่มขึ้นปีละ 900 ล้านเหรียญสหรัฐ จากปัจจุบันที่บริษัทมี EBITDA ประมาณ 900 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี
ขณะที่การจัดหาผู้ที่สนใจลงทุนหน่วยผลิตไฟฟ้า (Energy Recovery Unit:ERU) ซึ่งมีกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้า 250 เมกะวัตต์ (MW) และไอน้ำเพื่อป้อนให้กับกระบวนการผลิตของโครงการ CFP คาดว่าจะได้ข้อสรุปของผู้ลงทุนในช่วงต้นปี 62
ทั้งนี้ มองว่าแนวโน้มราคาน้ำมันดิบในปี 62 บริษัทคาดจะอยู่ที่ระดับ 70-75 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นผลจากปัจจัยพื้นฐานด้านความต้องการบริโภคน้ำมันที่ยังมีอยู่ต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามต้องจับตาการประชุมของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ในวันที่ 6 ธ.ค.นี้ โดยหลายฝ่ายคาดว่าจะมีการปรับลดกำลังการผลิต เพื่อให้เกิดความสมดุลของภาวะตลาดราคาน้ำมันดิบ
นายชัชชัย กล่าวต่อว่า ช่วงสัปดาห์หน้าบริษัทจะชี้แจงตลาดหลักทรัพย์ฯถึงแผนการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นหน่วยที่ 3 ซึ่งโรงกลั่นดังกล่าวคิดเป็นหน่วยกลั่นที่มีสัดส่วนการผลิตรวมของบริษัทประมาณ 60% ของการผลิตรวม อย่างไรก็ตามบริษัทได้มีมาตรการป้องกันด้วยการเร่งกระบวนการผลิตให้มากกว่าเดิม ทั้งนี้คาดจะทำให้มีผลกระทบของการปิดซ่อมบำรุงในระดับต่ำ