นางออมสิน ศิริ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่ารายได้และกำไรปี 61 จะสามารถทำสถิติสูงสุดได้ จากแผนการจ่ายกระแสไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ตามเป้าในปีนี้ โดยปัจจุบันมีกำลังการผลิตอยู่ที่ระดับ 404 เมกะวัตต์ (MW) แบ่งเป็น โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 278 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าพลังงานลม 126 เมกะวัตต์ ประกอบกับในช่วงไตรมาสที่ 4/61 คาดว่าการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จะกลับมาอยู่ในเกณฑ์ที่ดี และโรงไฟฟ้าพลังงานลมจะดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน
นอกจากนี้ ยังจะสามารถรับรู้กำลังการผลิตไฟฟ้าสำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานลม จ.ชัยภูมิ หรือ "โครงการหนุมาน" ได้ในกลางเดือนธ.ค.61 จำนวน 180 เมกะวัตต์ จากกำลังการผลิตรวม 260 เมกะวัตต์ ส่วนที่เหลืออีก 80 เมกะวัตต์ คาดว่าจะสามารถรับรู้ได้ภายในเดือน ม.ค.62 ซึ่งเมื่อ COD ครบแล้วจะทำให้บริษัทมีกำลังการผลิตโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม เพิ่มขึ้นเป็น 664 เมกะวัตต์ ซึ่งจะผลักดันรายได้และกำไรของบริษัทเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ขณะเดียวกันบริษัทอยู่ระหว่างศึกษาการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนขนาดกำลังการผลิตไม่เกิน 100 เมกะวัตต์ ในประเทศเวียดนาม ซึ่งเป็นรูปแบบการลงทุนในโครงการใหม่ (greenfeild) ปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจาเรื่องโครงสร้าง คาดว่าใช้งบลงทุนไม่เกินหลักพันล้านบาท จะมีความชัดเจนได้ในช่วงต้นปี 62
รวมถึงบริษัทยังสนใจลงทุนในธุรกิจพลังงานทดแทนอื่น ๆ ซึ่งมองเห็นโอกาสการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งได้เจรจาอย่างต่อเนื่อง โดยธุรกิจใหม่ ๆ จะเข้ามาช่วยเสริมฐานธุรกิจให้แข็งแรงขึ้น และมีโอกาสให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นในปีหน้าด้วย
สำหรับโครงการโรงงานแบตเตอรี่ขนาดรวม 50 กิกะวัตต์ชั่วโมง บนพื้นที่ 500 ไร่ มูลค่าการลงทุน 1 แสนล้านบาท ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้างเฟสแรก ขนาด 1 กิกะวัตต์ชั่วโมง มูลค่าการลงทุน 4 พันล้านบาท ซึ่งเป็นการทยอยใช้งบลงทุนในเครื่องจักรและงานก่อสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จได้ในปลายปี 62 ส่วนที่เหลืออีก 49 กิกะวัตต์ อยู่ระหว่างเจรจาร่วมกับพันธมิตรทั้งในไทยและต่างประเทศเพื่อร่วมลงทุนในระยะถัดไป
นางออมสิน กล่าวอีกว่า บริษัทอยู่ระหว่างจัดทำแผนการดำเนินงานปี 62 เพื่อเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทในช่วงเดือนก.พ.62 เบื้องต้นคาดว่าผลประกอบการจะสามารถเติบโตได้ดีกว่าปีนี้ตามกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทวางงบลงทุนรวมสำหรับปี 61-62 ไว้ราว 2.66 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนในโครงการหนุมานจำนวน 1.8 หมื่นล้านบาท, โครงการโรงงานแบตเตอรี่ เฟส 1 จำนวน 4 พันล้านบาท, โครงการผลิตและจำหน่ายไบโอดีเซล 2 พันล้านบาท, โครงการ EV Charging 800 ล้านบาท, การวิจัยและพัฒนา (R&D) 300 ล้านบาท และอื่น ๆ อีก 1.5 พันล้านบาท ซึ่งในปีนี้บริษัทใช้งบลงทุนไปแล้วราว 6 พันล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนยื่นขอเงินกู้โครงการ (project finance) กับสถาบันการเงินมูลค่าราว 1.5 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะมีข้อสรุปในเร็ว ๆ นี้ คาดว่าจะทำให้อัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ราว 2.6-2.7 เท่า จากเดิมที่ 2.03 เท่า ทั้งนี้เพื่อใช้ในการลงทุนในโครงการต่าง ๆ ซึ่งมองว่าเป็นประโยชน์ต่อบริษัทจากได้รับดอกเบี้ยในอัตราที่ต่ำกว่าการออกหุ้นกู้ จากเดิมที่บริษัทมีการขอมติผู้ถือหุ้นเพื่อออกหุ้นกู้แล้วจำนวน 2 หมื่นล้านบาท