นายองอาจ ปัณฑุยากร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ออลล่า (ALLA) เปิดเผยว่า บริษัทได้จัดทำแผนธุรกิจปี 62 ตั้งเป้าหมายรายได้คาดว่าจะเติบโตราว 10% เนื่องจากประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศจะกระเตื้องขึ้น การลงทุนของภาครัฐและเอกชนจะฟื้นตัวภายหลังการเลือกตั้ง รวมถึงเห็นความคืบหน้าของโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(EEC) ซึ่งจะสนับสนุนให้เกิดความต้องการใช้อุปกรณ์ขนถ่ายวัสดุในโรงงานอุตสาหกรรม ในส่วนของงานเครนและรอกไฟฟ้า อุปกรณ์ช่องโหลดสินค้า และประตูอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัท
ในปี 62 บริษัทจะเดินหน้าเข้าร่วมประมูลงานในอุตสาหกรรมหลักของประเทศ ทั้งในส่วนของโรงไฟฟ้า รถไฟฟ้า และอุตสาหกรรมปิโตรเคมี เพื่อคาดหวังเพิ่มมูลค่างานในมือ (Backlog) ให้เพิ่มขึ้นจากสิ้นไตรมาส 3/61 มีจำนวน 412 ล้านบาท ซึ่งมูลค่างานดังกล่าวจะทยอยรับรู้ตั้งแต่ไตรมาส 4/61 ไปจนถึงปี 62 โดยจะเป็นการรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาส 4/61 มากถึงราว 70% ของมูลค่างานในมือในปัจจุบัน ซึ่งจะช่วยผลักดันให้กำไรในไตรมาส 4/61 ทำสถิติถสูงสุดใหม่ต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 9 ติดต่อกัน
นอกจากนี้ บริษัทยังมีงานใหม่ ๆ เข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้รับงานของโรงไฟฟ้ามูลค่า 120 ล้านบาท และยังอยู่ระหว่างเสนอราคาอย่างต่อเนื่อง
นายองอาจ กล่าวอีกว่า สำหรับธุรกิจระบบขนถ่ายสินค้าอัตโนมัติ "Automate Warehouse" นั้น เป็นไปในทิศทางที่ดี และมีความต้องการสูงสอดคล้องกับทิศทางการเติบโตของธุรกิจโลจิสติกส์ โดยเฉพาะภายหลังได้รับความไว้วางใจจากบมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL) ให้เข้าไปดูแลงานระบบจัดการคลังสินค้า (Warehouse System Provider) โดยคาดว่างานจาก CPALL จะมีเข้ามาอย่างต่อเนื่องตามการขยายตัวของร้านสะดวกซื้อ7-11
นอกจากนี้บริษัทเตรียมที่จะขยายตลาดไปยังต่างประเทศมากขึ้น โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างเตรียมการที่จะไปตั้งสำนักงานขายในปี 62 ใน 2 ประเทศคือ ประเทศอินโดนีเซีย และประเทศฟิลิปปินส์ นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างศึกษาเพิ่มเติมในประเทศเวียดนาม และเมียนมา โดยบริษัทมองว่าในประเทศเหล่านี้ยังมีงานจำนวนมากที่จะออกมา เนื่องจากอยู่ในช่วงการขยายตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งในปี 65-66 คาดว่าบริษัทจะมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 50% จากปัจจุบันอยู่ที่ 5%
สำหรับแผนปรับปรุงโรงงานของบริษัทที่วางงบลงทุนไว้ที่ 30-40 ล้านบาทนั้น คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในช่วงเดือนพ.ย.62 ซึ่งบริษัทได้เตรียมการบริหารจัดการไว้แล้วจึงจะไม่ได้รับผลประกอบการ โดยเงินลงทุนจะมาจากเงินที่ได้มาจากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ที่เหลืออยู่กว่า 100 ล้านบาท