ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (14 ม.ค.) เนื่องจากนักลงทุนขานรับผลประกอบการของบริษัทอินเตอร์เนชั่นแนล บิสิเนส แมชีนส์ คอร์ป (ไอบีเอ็ม) ที่พุ่งขึ้น 24% ในไตรมาส 4 ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์ในโพลล์ธอมสัน ไฟแนนเชียลคาดการณ์ไว้
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดพุ่งขึ้น 171.85 จุด หรือ 1.36% แตะระดับ 12,778.15 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดเพิ่มขึ้น 15.23 จุด หรือ 1.09% แตะระดับ 1,416.25 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดดีดขึ้น 38.36 จุด หรือ 1.57% แตะระดับ 2,478.30 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ประมาณ 1.41 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 2 ต่อ 1 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ประมาณ 2.17 พันล้านหุ้น
นายริชาร์ด คลิปส์ นักวิเคราะห์จากบริษัทสตีเฟล นิโคเลาส์ กล่าวว่า "ผลประกอบการที่แข็งแกร่งเกินคาดของไอบีเอ็มได้ดึงดูดนักลงทุนให้เข้าซื้ออย่างคับคั่ง และทำให้เกิดความคาดหวังว่าผลประกอบการของบริษัทอื่นๆอาจจะไม่ย่ำแย่เหมือนกับที่คาดการณ์กันไว้เบื้องต้น"
นักลงทุนเข้าซื้อหุ้นกลุ่มการเงินก่อนที่ซิตี้กรุ๊ปจะเปิดเผยผลประกอบการในวันอังคาร และก่อนที่เมอร์ริล ลินช์ จะเปิดเผยผลประกอบการในวันพฤหัสบดี โดยมีกระแสคาดการณ์ว่าบริษัททั้งสองแห่งจะเปิดเผยเรื่องการระดมเม็ดเงินทุนเพื่อชดเชยการขาดทุนในตลาดกู้จำนอง
ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัลรายงานว่า ธนาคารกลางไชน่า ดิเวลล็อปเมนท์ แบงค์ และเจ้าชายอัลลาวีด์ ตาลัล แห่งซาอุดิอาระเบีย อาจจะอัดฉีดเม็ดเงินทุนให้กับซิตี้กรุ๊ป สถาบันการเงินรายใหญ่ของสหรัฐซึ่งกำลังประสบปัญหาขาดทุนจำนวนมากจากการลงทุนในตลาดปล่อยกู้จำนองให้กับลูกหนี้ที่มีความน่าเชื่อถือต่ำ (ซับไพรม์)
"แม้ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าเจ้าชายอัลลาวีด์จะเข้าลงทุนในซิตี้กรุ๊ปด้วยจำนวนเงินเท่าใด แต่เราคาดว่าธนาคารจีนจะเข้าลงทุนในซิตี้กรุ๊ปราว 2 พันล้านดอลลาร์ แต่เท่าที่ทราบคือเจ้าชายแห่งซาอุดิอาระเบียตั้งใจที่จะถือหุ้นไม่เกิน 5% เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตรวจสอบ" วอลล์สตรีท เจอร์นัลรายงาน
ทั้งนี้ เนื่องจากยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจใหม่ๆจากสหรัฐ นักลงทุนจึงจับตาดูผลประกอบการของบริษัทเอกชนและราคาสินค้าโภคภัณฑ์เป็นหลัก โดยราคาทองคำทะยานขึ้นเหนือระดับ 913 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์ยังคงอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ส่วนราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้น 1.51 ดอลลาร์ แตะระดับ 94.20 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
นายปีเตอร์ ดูเนย์ นักวิเคราะห์จากบริษัทลี้บ แคปิตอล เมเนจเมนท์ คาดการณ์ว่า ราคาสินค้าโภคภัณฑ์จะยังคงปรับตัวสูงขึ้น และคาดว่านักลงทุนในตลาดวอลล์สตรีทจะจับตาดูผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 29-30 ม.ค. หลังจากที่นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานเฟดส่งสัญญาณว่าเฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกเพื่อยับยั้งเศรษฐกิจไม่ให้เข้าสู่ภาวะถดถอย
"เราคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะยังเป็นปัญหาที่รบกวนใจเฟดไปอีกระยะหนึ่งเนื่องจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ยังคงเคลื่อนไหวในระดับสูง และคาดว่าภาวะตึงตัวในตลาดสินเชื่อจะผลักดันให้เฟดอัดฉีดเม็ดเงินก้อนใหญ่เข้าสู่ระบบอีกครั้งเพื่อป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจถดถอย" นายดูเนย์กล่าว
ทั้งนี้ หุ้นเจนเนอร์รัล มอเตอร์ (จีเอ็ม) ปิดพุ่งขึ้น 19 เซนต์ ปิดที่ 23.69 ดอลลาร์ หลังจากนายฟริทซ์ เฮนเดอร์สัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงินของจีเอ็มกล่าวว่า แม้ยอดการผิดนัดชำระหนี้ในบริษัทจีเอ็มเอซี ซึ่งเป็นธุรกิจด้านการเงินของจีเอ็ม จะปรับตัวสูงขึ้นในไตรมาส 3 แต่เชื่อว่าปัญหาดังกล่าวจะไม่รุนแรงมากนัก
ส่วนหุ้นเซียร์ โฮลดิ้งส์ ปรับตัวลง 5% หลังจากบริษัทคาดการณ์ว่าผลประกอบการไตรมาส 4 อาจร่วงลงรุนแรงถึง 51% ซึ่งทำให้นักลงทุนกังวลว่าภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวของสหรัฐอาจส่งผลกระทบถึงธุรกิจค้าปลีกด้วย
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.0-2253-5050 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--