ทริสฯ เพิ่มอันดับเครดิตองค์กร HMPRO เป็น "AA-" จาก "A+" แนวโน้ม "Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday December 6, 2018 17:15 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เพิ่มอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ. โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (HMPRO) เป็นระดับ "AA-" จากเดิมที่ระดับ "A+" ด้วยแนวโน้ม "Stable" หรือ "คงที่" โดยอันดับเครดิตที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวสะท้อนถึงความสามารถในการทำกำไรที่เพิ่มขึ้นและความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งของบริษัท นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังคงสะท้อนสถานะผู้นำของบริษัทในธุรกิจค้าปลีกสินค้าเกี่ยวกับบ้านในประเทศไทยตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมาอีกด้วย ทั้งนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงธรรมชาติการแข่งขันที่รุนแรงในกลุ่มผู้ค้าปลีกสมัยใหม่ที่จำหน่ายสินค้าเกี่ยวกับบ้าน ตลอดจนการฟื้นตัวของกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ช้ากว่าคาด

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

เป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีกสินค้าเกี่ยวกับบ้าน

บริษัทเป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีกสินค้าเกี่ยวกับบ้านในประเทศไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาโดยมียอดจำหน่ายรวมเป็นอันดับหนึ่งในอุตสาหกรรม ทั้งนี้ ผู้ประกอบการที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมทั้ง 6 รายในแง่ของรายได้จากการจำหน่าย ได้แก่ โฮมโปร, ดูโฮม, สยามโกลบอลเฮ้าส์, กลุ่มซีอาร์ซี (โฮมเวิร์คและไทวัสดุ), บุญถาวร และอินเด็กซ์ ลิฟวิ่ง มอลล์

รายได้รวมของบริษัทเพิ่มขึ้น เป็น 59,888 ล้านบาทในปี 2560 จาก 18,540 ล้านบาทในปี 2551 ซึ่งคิดเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ระดับ 14% บริษัทมีความสามารถในการทำกำไรที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา อัตรากำไรของบริษัทซึ่งวัดจากอัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้อยู่ในช่วงระหว่าง 14%-15% ถือว่าสูงกว่าผู้ประกอบการรายใหญ่รายอื่นในอุตสาหกรรมที่มีอัตรากำไรอยู่ที่ประมาณ 8%-9%

ปรับสัดส่วนกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อเพิ่มกำไร

อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างน่าพอใจโดยมาอยู่ที่ระดับ 27.1% ในช่วง 9 เดือนแรก ของปี 2561 ซึ่งถือว่าเป็นอัตราที่สูงที่สุด จากเดิมที่ระดับ 26.4% ในปี 2560

อัตรากำไรขั้นต้นที่ปรับตัวดีขึ้นเกิดจากการปรับสัดส่วนผลิตภัณฑ์ในร้านค้าโฮมโปร โดยรายได้จากกลุ่มสินค้าภายใต้ตราสินค้าของบริษัทและสินค้านำเข้าซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงกว่าสินค้าภายใต้ตราสินค้าอื่นในท้องตลาดมีสัดส่วนคิดเป็น 19%-21% ของยอดจำหน่ายรวมของบริษัทในช่วงปี 2556 จนถึงปี 2560 บริษัทตั้งเป้าหมายจะเพิ่มสัดส่วนของรายได้จากสินค้าภายใต้ตราสินค้าของบริษัทเองต่อรายได้รวมให้เป็น 25% ในระยะยาว

ยอดจำหน่ายจากสาขาเดิมเริ่มฟื้นตัว

ยอดจำหน่ายจากสาขาเดิมของบริษัทลดลง 0.8% ในปี 2560 อย่างไรก็ตาม ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2561 ยอดจำหน่ายจากสาขาเดิมก็เติบโตสูงขึ้นในระดับปานกลางที่ 1.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเกิดจากการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ระดับปานกลางถึงสูงในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล

ทริสเรทติ้งคาดว่าอุปสงค์ภายในประเทศจะฟื้นตัวจากสภาพเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดการณ์ว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของไทยจะเติบโตที่ระดับ 4.4% ในปี 2561 จากระดับ 3.9% ในปี 2560 ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงคาดคาดว่ารายได้ของบริษัทจะเติบโตที่ระดับ 4.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และคาดว่าสัดส่วนของค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อรายได้รวมของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับที่ควบคุมได้และรักษาระดับอยู่ที่ 23%

คาดว่าภาระหนี้จะปรับตัวลดลง

อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินรวมต่อเงินทุนของบริษัทมีแนวโน้มปรับตัวลดลงโดยลำดับ เนื่องจากบริษัทจะมีการใช้เงินลงทุนน้อยลงในการขยายสาขาที่มีขนาดเล็กลงจากปกติ ในช่วงระหว่างปี 2561-2566 บริษัทมีแผนการที่จะเปิดสาขาในทุกรูปแบบจากทั้งหมด 108 เป็น 150 สาขา ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 31% ในปี 2564 จาก 46% ในปี 2561

บริษัทวางแผนเงินลงทุนทั้งสิ้นที่จำนวน 15,250 ล้านบาทในช่วงปี 2561-2564 โดยบริษัทจะใช้เงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทและกู้ยืมเงินใหม่มาใช้สำหรับการลงทุนเหล่านี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าเงินสดส่วนเกินเพื่อรองรับภาระหนี้ของบริษัทจะยังคงแข็งแกร่ง ในขณะที่อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินของบริษัทจะอยู่ในช่วงระหว่าง 62%-95%

มีสภาพคล่องที่เพียงพอ

บริษัทมีวงจรเงินสดติดลบซึ่งหมายความว่าบริษัทมีเงินทุนหมุนเวียนส่วนเกินจำนวนมาก บริษัทมีอำนาจในการต่อรองกับเจ้าหนี้การค้าค่อนข้างสูงจากการที่บริษัทมีความแข็งแกร่งจากการประหยัดจากขนาด ในขณะเดียวกัน บริษัทก็มีการควบคุมระดับสินค้าคงเหลือและลูกหนี้การค้าอย่างระมัดระวัง คาดว่าบริษัทจะมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายประมาณ 10,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งเป็นระดับที่เพียงพอในการชำระดอกเบี้ยจ่ายและรองรับภาระหนี้ที่จะครบกำหนดในช่วง 12 เดือนข้างหน้า นอกจากนี้ ณ เดือนกันยายน 2561 บริษัทยังมีเงินสดในมือและเงินลงทุนระยะสั้นจำนวน 898 ล้านบาทด้วย

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะผู้นำในธุรกิจค้าปลีกสินค้าเกี่ยวกับบ้านในประเทศไทยได้ต่อไป อีกทั้งยังคาดว่าภาระหนี้ของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับที่ยอมรับได้แม้ว่าบริษัทจะมีการขยายธุรกิจ

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

โอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตในระยะใกล้นี้ยังไม่มีเนื่องจากการปรับเพิ่มอันดับเครดิตครั้งล่าสุด ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตอาจปรับลดลงหากบริษัทมีผลการดำเนินงานที่ลดลงต่ำกว่าคาดอย่างต่อเนื่อง หรือหากระดับภาระหนี้ของบริษัทสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หรือจากการที่บริษัทขยายการลงทุนอย่างมาก หรือจากการที่ผลการดำเนินงานปรับตัวลดลง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ