ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บมจ.เอพี (ไทยแลนด์) (AP) ที่ระดับ "A-" พร้อมทั้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 3 ปี ของบริษัทที่ระดับ "A-" เช่นเดียวกัน โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ชำระหนี้และเพื่อขยายธุรกิจ
อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจของบริษัทที่น่าพอใจจากการมีผลงานที่เป็นที่ยอมรับในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัย ตลอดจนการมีสินค้าที่หลากหลาย และมูลค่ายอดขายที่อยู่อาศัยที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) ในระดับปานกลางซึ่งช่วยรองรับรายได้ในอนาคต อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากลักษณะของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นวงจรขึ้นลง ตลอดจนภาระหนี้ของบริษัทที่อยู่ในระดับปานกลาง และความกังวลเกี่ยวกับระดับหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงทั่วประเทศ
ผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2561 ดีกว่าประมาณการของทริสเรทติ้ง ณ เดือนกันยายน 2561 บริษัทมียอดขายอยู่ที่ 21,904 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 54% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้ บริษัทยังมียอดขายอีกจำนวน 8,797 ล้านบาทจากโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้กิจการร่วมค้าอีกด้วย รายได้ของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2561 อยู่ที่ 19,080 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยรายได้จากโครงการบ้านจัดสรร เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 46%
ในขณะที่อัตราส่วนกำไร (อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้) ของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2561 อยู่ที่ 14.8% ลดลงจากระดับ 15.5%-17.0% ในช่วงปี 2558-2560 อัตราส่วนกำไรที่ลดลงเป็นผลสืบเนื่องมาจากอัตรากำไรขั้นต้นของโครงการคอนโดมิเนียมที่ลดลงและค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่ค่อนข้างสูง ซึ่งอัตรากำไรขั้นต้นของโครงการคอนโดมิเนียมในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2561 อยู่ที่ 28% ลดลงจากระดับ 34%-37% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
ณ เดือนกันยายน 2561 มูลค่ายอดขายที่รอรับรู้เป็นรายได้ของบริษัทอยู่ที่ 9,831 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรรมูลค่า 5,543 ล้านบาทและโครงการคอนโดมิเนียมมูลค่า 4,288 ล้านบาท ซึ่งยอดขายทั้งหมดนี้จะทยอยรับรู้เป็นรายได้ในปี 2561 และปี 2562 ส่วนยอดขายจากโครงการที่พัฒนาภายใต้กิจการร่วมค้านั้นมีมูลค่า 36,527 ล้านบาทซึ่งจะทยอยส่งมอบให้ลูกค้าในปี 2561 เป็นต้นไป ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในกิจการร่วมค้าประมาณ 600-1,000 ล้านบาทต่อปี ในช่วงปี 2561-2564
อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุน (รวมเงินกู้จากกิจการร่วมค้าตามสัดส่วน 51.0%) ณ สิ้นเดือนกันยายน 2561 อยู่ที่ 51.9% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 51.2% ณ สิ้นปี 2560 ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทจะอยู่ในช่วง 50.0%-55.0% ในระยะ 3 ปีข้างหน้า
บริษัทมีสภาพคล่องอยู่ในระดับที่เพียงพอ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2561 บริษัทมีภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้าจำนวน 10,240 ล้านบาทซึ่งประกอบด้วยตั๋วแลกเงินและตั๋วสัญญาใช้เงินระยะสั้นจำนวน 6,389 ล้านบาท และหุ้นกู้จำนวน 3,850 ล้านบาท โดยทั่วไปแล้วบริษัทจะชำระคืนหนี้ส่วนใหญ่ด้วยการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ ขณะที่บริษัทมีเงินสด ณ เดือนกันยายน 2561 จำนวน 785 ล้านบาทและมีวงเงินกู้จากธนาคารที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีก 8,923 ล้านบาท ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานในช่วง 12 เดือนข้างหน้ามากกว่า 3,000 ล้านบาทอีกด้วย
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงรักษาความสามารถในการแข่งขันที่เข้มแข็งในกลุ่มสินค้าหลักและจะสามารถปรับปรุงสินค้าให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดและความต้องการของลูกค้าได้อย่างสมดุลด้วย นอกจากนี้ แนวโน้มอันดับเครดิตดังกล่าวยังสะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงดำรงนโยบายทางการเงินที่ระมัดระวังต่อไปและจะสามารถรักษาอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนให้อยู่ในระดับไม่เกิน 55.0% ในช่วง 3 ปีข้างหน้าเอาไว้ได้
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจมีการปรับลดลงหากสถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงไปจากระดับปัจจุบันเป็นอย่างมาก หรืออัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนอยู่ในระดับที่สูงกว่า 55.0% เป็นเวลานานพอสมควร ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตอาจมีการปรับเพิ่มขึ้นหากบริษัทสามารถเพิ่มอัตราการทำกำไรได้โดยที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนลดลงอยู่ที่ระดับ 40.0%-45.0% เป็นระยะเวลาที่ยาวนานในระดับหนึ่ง