(เพิ่มเติม1) MFC คาด"วายุภักษ์ 1"ปันผลงวดครึ่งหลังปี 50 ใกล้เคียง 3% ในครึ่งปีแรก

          นายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.เอ็มเอฟซี (MFC) ในฐานะผู้บริหารกองทุนวายุภักษ์ กล่าวว่า กองทุนวายุภักษ์ ณ สิ้นปี 50 ได้รับเงินปันผลจากการลงทุนในหุ้นกว่า 7,000 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปี 2549 และคาดว่าจะจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนในงวดครึ่งหลังปี 50 ในอัตรา 3% ใกล้เคียงกับครึ่งปีแรก โดยบริษัทจะนำเสนอให้คณะกรรมการกองทุนพิจารณาอนุมัติในวันที่ 21 ม.ค.นี้
          สำหรับกองทุนวายุภักษ์ 1 ขณะนี้มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร 3แสนล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าตัว จากเมื่อเริ่มจัดตั้งกองทุนที่มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารเพียง 1 แสนล้านบาท 
          ปัจจุบันน้ำหนักการลงทุนในกองทุนวายุภักษ์ ยังเน้นในหุ้นกลุ่มพลังงานและสถาบันการเงินที่กระทรวงการคลังถือหุ้นใหญ่แม้ว่าในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยจะมีความผันผวนสูงแต่กองทุนวายุภักษ์ไม่ได้รับผลกระทบเนื่องจากพอร์ตการลงทุนมีการคำนวณทางคณิตศาสตร์ที่รอบคอบ 
          ประกอบกับ กองทุนมีสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องประมาณ 3 หมื่นล้านบาท เชื่อว่าเพียงพอต่อการลงทุนและการจ่ายปันผล รวมถึงที่ผ่านมามีกำไรสะสมในส่วนของกองทุนวายุภักษ์จำนวนมาก โดยเฉลี่ยกองทุนได้ผลตอบแทนถึง 16.7% และหากคิดเป็นกำไรหลังหักภาระผูกพันของกระทรวงการคลังแล้วกองทุนวายุภักษ์มีกำไรถึง 1.47 แสนล้านบาท
          ส่วนการจัดตั้งกองทุนวายุภักษ์ 2 นายพิชิต กล่าวว่า ขณะนี้ได้เสนอหลักการต่อทางการไปแล้ว แต่ขณะนี้อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาล ดังนั้น การจัดตั้งกองทุนวายุภักษ์ 2 คงต้องเลื่อนออกไปก่อน เพื่อรอรัฐบาลใหม่เข้ามาพิจารณา 
          อย่างไรก็ตาม MFC พร้อมที่จะผลักดันเสนอจัดตั้งกองทุนวายุภักษ์ 2 เนื่องจากเป็นแนวทางที่สามารถระดมเงินจากสินทรัพย์ของกระทรวงการคลังที่มีมูลค่า ถ้าหากรัฐบาลจำเป็นต้องใช้เงินเพื่อลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคภาครัฐก็จะเป็นเครื่องมือระดมเงินที่ดีทางหนึ่ง 
          นายพิชิต กล่าวว่า อุตสาหกรรมกองทุนรวมปีนี้เชื่อว่าจะเน้นไปที่การจัดตั้งกองทุนรวมเพื่อไปลงทุนในต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดหุ้นเปิดใหม่ที่ให้ผลตอบแทนสูง และนอกจากนี้ กองทุนอสังหาริมทรัพย์และกองทุน Commodity ยังคงมีความน่าสนใจและการเติบโตสูง 
          ด้านภาวะตลาดหุ้นไทยแม้ช่วงต้นปีจะมีความผันผวนสูง แต่ทั้งปีดัชนี SET น่าจะไปถึง 945-975 จุดได้ และอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(GDP)ของประเทศน่าจะเติบโตอีก 4.8-5.0% และภาวะเงินเฟ้อจะอยู่ที่ประมาณ 3% กลุ่มที่น่าสนใจลงทุนยังเป็นกลุ่มพลังงาน และ สถาบันการเงิน