นายรพี สจริตกุล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า ก.ล.ต. ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สมาคมบริษัทจัดการลงทุน และสมาคมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ จัดโครงการ "บริษัทเกษียณสุข" ซึ่งมีนายจ้างกว่า 170 บริษัท ครอบคลุมสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพกว่า 300,000 คน เข้าร่วมแสดงพลังประกาศเจตนารมณ์ส่งเสริมลูกจ้างของตนให้มีเงินใช้หลังเกษียณอย่างเพียงพอ โดยใช้ประโยชน์จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอย่างเต็มที่ ภายใต้แนวคิด "ออมเต็มพิกัด จัดแผนเป็น เห็นเงินพอ"
"เราพบปัญหาว่ามีสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพกว่า 60% ได้เงิน ณ วันเกษียณ ไม่ถึงหนึ่งล้านบาท ขณะที่ผลงานวิจัยระบุว่าเงินขั้นต่ำสุดที่ควรมีเพื่อให้สามารถดำรงชีวิตต่อไปได้หลังเกษียณคือสามล้านบาท และสมาชิกไม่รู้ว่าจะต้องสะสมเงินในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเพื่อให้เพียงพอใช้จ่ายหลังเกษียณ ทำให้ออมน้อย เริ่มออมช้า และไม่เลือกหรือไม่มีทางเลือกในนโยบายการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนมากพอที่จะทำให้เงินออมเติบโตจนถึงระดับเพียงพอสำหรับใช้จ่ายหลังเกษียณได้W
ปัจจุบันกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมีจำนวนสมาชิกกว่า 3 ล้านคน มีเงินกองทุนรวม 1.46 ล้านล้านบาท แต่สมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพสัดส่วน 81% ยังคงเลือกนโยบายการลงทุนที่ความเสี่ยงต่ำ ซึ่งเป็นการลงทุนในตราสารหนี้เป็นหลัก ทำให้เงินออมไม่พอใช้หลังจากเกษียณอายุ โดยปัจจุบันสัดส่วนการลงทุนของสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ แบ่งเป็น ตราสารหนี้ 81% และตราสารทุน 19% โดยแบ่งประเภทสินทรัพย์การลงทุน ได้แก่ หุ้นกู้ 28.7% พันธบัตรกระทรวงการคลังและตั๋วสัญญาใช้เงิน 26.88% หุ้นสามัญ 19% หน่วยลงทุน 13% และเงินฝาก 11%
จากประเด็นข้างต้น นายจ้างจึงเป็นหัวใจสำคัญที่สุด ที่จะช่วยสร้างความตระหนักด้านการออมเพื่อการเกษียณ โดยกระตุ้นให้ลูกจ้างสะสมเงินเต็มสิทธิ 15% ของเงินเดือน มีแผนการลงทุนให้เลือกหลากหลาย รวมถึงมีแผนแบบสมดุลตามอายุ (life path) ที่ปรับสัดส่วนการลงทุนอัตโนมัติตามช่วงอายุของสมาชิกไว้รองรับด้วย สิ่งที่สำคัญคือ นายจ้างต้องให้ความรู้แก่ลูกจ้างอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การเลือกแผนการลงทุนของลูกจ้างเหมาะสมกับเป้าหมายเกษียณของตนเอง
โครงการ "บริษัทเกษียณสุข" มุ่งสนับสนุนนายจ้างช่วยให้ลูกจ้างมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีหลังเกษียณ ผ่านกลไกการออมในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ โดยนายจ้างมีบทบาทให้ความรู้แก่ลูกจ้าง กระตุ้นให้เกิดการออม ซึ่งเป็นที่น่ายินดีที่มีนายจ้างสนใจสมัครเข้าร่วมกว่า 170 รายครอบคลุมสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพกว่า 3 แสนคน เกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ในตอนแรกที่ 100 ราย
ทั้งนี้ บริษัทที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับประโยชน์ที่หลากหลาย อาทิ ได้รับเครื่องมือการเรียนรู้ (Toolbox) ซึ่งประกอบด้วยสื่อและเครื่องมือต่าง ๆ ที่สามารถนำไปใช้สื่อสารกับลูกจ้างให้หันมาใส่ใจกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอย่างต่อเนื่องได้ ได้รับสิทธิในการส่งกรรมการกองทุนไปอบรมความรู้ในการบริหารกองทุนในหลักสูตรของสมาคมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และส่งผู้แทนฝ่ายทรัพยากรบุคคลหรือพนักงานที่พร้อมเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลง (influencer) เข้าร่วมเวิร์คช็อปเพื่อกระตุ้นและถ่ายทอดความรู้สู่เพื่อนพนักงานได้ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ บริษัทจัดการลงทุนที่บริหารกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจะช่วยให้ข้อมูลและนำเสนอทางเลือกแผนการลงทุนที่หลากหลายและเหมาะสมกับเป้าหมายเกษียณมากที่สุด และสุดท้ายจะประเมินผลเพื่อประกาศเกียรติคุณแก่สมาชิกตามความสำเร็จในการเข้าร่วมโครงการต่อไป
นายรพี กล่าวว่า ก.ล.ต.ตั้งเป้าเพิ่มจำนวนบริษัทที่สนไจเข้าสมัครโครงการบริษัทเกษียณสุขเพิ่มขึ้นเป็น 250 บริษัท เพื่อเป็นการกระตุ้นให้นายจ้างให้การสนับสนุนการออมแก่พนักงานทุกคนมากขึ้น แม้ว่าจะเป็นตัวเลขที่ไม่มากเมื่อเทียบกับจำนวนบริษัททั้งหมดในประเทศที่มีอยู่ราว 17,000 บริษัท แต่ก.ล.ต.ก็ยังคงเดินสายไปพูดคุยกับนานจ้างบริษัทต่างๆเพื่อทำความเข้าใจ เพราะก.ล.ต.เห็นถึงบทบาทของนายจ้างที่มีผลต่อการตัดสินใจของพนักงานในการดำเนินการต่างๆอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งนายจ้างเป็นแรงผลักดันที่ดีที่จะกำหนดสิ่งต่างๆในองค์กร โดยเฉพาะการออมของพนักงาน พร้อมกับแนะนำให้สมาชิกที่เข้าร่วมโครงการควรแบ่งสัดส่วนเงินออมในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเพิ่มขึ้นเป็นขั้นต่ำ 10% ของเงินเดือน เพื่อทำให้มีเงินออมรองรับไนการดำเนินชีวิตช่วงเกษียณต่อได้ เพราะปัจจุบันสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 60-70% ของสมาชิกทั้งหมด มีเงินออมในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไม่ถึง 1 ล้านบาท ซึ่งไม่เพียงพอหากจะนำไปใช้เพื่อการดำเนินชีวิตในช่วงเกษียณ
ด้านความคืบหน้าการเริ่มดำเนินงานของผู้ให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัล (ICO Portal) รายแรก ปัจจุบันทางผู้ให้บริการที่ยื่นขออนุญาตมาที่ก.ล.ต.กำลังอยู่ระหว่างการปรับแก้ระบบของผู้ให้บริการนั้นให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และหลังจากที่ผู้ให้บริการปรับแก้ระบบแล้วเสร็จทางก.ล.ต.จะเข้าไปตรวจสอบระบบอีกครั้ง และหากการตรวบสอบแล้วเสร็จก็จะสามารถอนุญาตให้เริ่มให้บริการได้ ซึ่งยังไม่มั่นใจว่าจะสามารถเริ่มให้บริการใด้ทันภายในเดือนธ.ค.หรือไม่ เพราะขึ้นอยู่กับระยะเวลาการปรับแก้ระบบของผู้ให้บริการ และหลักจาก ICO Portal เปิดให้บริการ ก็จะเปิดให้มี ICO ที่จะเสนอขายเข้ามาขออนุญาตตามขั้นตอนต่อไป