นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิด เผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) มีมติให้บริษัท ปตท.สผ.เอ็นเนอร์ยี่ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ในกลุ่ม บมจ. ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) และบริษัท เอ็มอีจี 2 (ประเทศไทย) จำกัด ในกลุ่มมูบาดาลา เป็นผู้ได้รับสิทธิเป็นผู้รับ สัญญาแบ่งปันผลผลิตแปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข G1/61 (แปลงเอราวัณ) และ บริษัท ปตท.สผ. เอนเนอร์ยี่ ดี เวลลอปเมนท์ จำกัดเป็นผู้ได้รับสิทธิเป็นผู้รับสัญญาแบ่งปันผลผลิต ในแปลงสำรวจหมายเลข G2/61 (แปลงบงกช)
นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รมว.พลังงาน กล่าวว่า การพิจารณาคัดเลือกผู้ชนะการประมูลในครั้งนี้ กระทรวงพลังงาน พิจารณาตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ได้ประกาศไว้ในเอกสารเชิญชวนให้ยื่นขอสิทธิ ประกอบด้วย ราคาก๊าซธรรมชาติตลอดอายุสัญญา ตามสูตรราคาที่กำหนดในเอกสารเชิญชวน, ส่วนแบ่งกำไรของผู้รับสัญญา, โบนัสและผลประโยชน์พิเศษ และสัดส่วนการจ้างพนักงาน ไทย
โดยผู้ชนะได้ยื่นข้อเสนอในแปลง G1/61 (แปลงเอราวัณ) และ G2/61 (แปลงบงกช) ดังนี้
รายการข้อเสนอ แปลงG1/61 แปลงG2/61 (แปลงเอราวัณ) (แปลงบงกช) ค่าคงที่ราคาก๊าซ (Pc)* บาท/ล้านบีทียู 116 116 ร้อยละปิโตรเลียมส่วนที่เป็นกำไรของผู้รับสัญญา (Profit Split) 32% 30% โบนัสและผลประโยชน์พิเศษ - โบนัสลงนาม (ล้านบาท) 1,050 1,050 - โบนัสการผลิต (ล้านบาท) 1,575 1,575 - เงินอุดหนุน (ล้านบาท/ปี) 7 7 - ผลประโยชน์พิเศษอื่นๆ (ล้านบาท) 35 685 สัดส่วนการจ้างพนักงานไทย - ร้อยละของพนักงานไทยเมื่อสิ้นปีที่ 1 98% 99% - ร้อยละของพนักงานไทยเมื่อสิ้นปีที่ 5 98% 99% *Pc; Price Constant = ค่าคงที่ราคาก๊าซธรรมชาติ ที่ใช้ในการคำนวณในสูตรราคาก๊าซธรรมชาติตลอดอายุสัญญา จากข้อเสนอค่าคงที่ราคาก๊าซธรรมชาติ ที่ 116 บาท/ล้านบีทียู สำหรับทั้งสองแปลง เมื่อเทียบกับราคาปัจจุบัน ที่ 165 บาท/ล้านบีทียู สำหรับแปลงเอราวัณ และ 214.26 บาท/ล้านบีทียู สำหรับแปลงบงกช แล้วเทียบเท่าส่วนลดค่าใช้จ่ายราคา ก๊าซธรรมชาติให้กับประเทศ เท่ากับ 550,000 ล้านบาท ในระยะเวลา 10 ปี ตามเงื่อนไขการผลิตขั้นต่ำ หรือปีละ 55,000 ล้าน บาท และหากนำส่วนลดราคาก๊าซธรรมชาติที่ได้จากทั้ง 2 แปลง มาใช้ลดค่าใช้จ่ายผลิตไฟฟ้าทั้งหมด จะสามารถช่วยประหยัดค่า ไฟฟ้าได้ประมาณ 29 สตางค์ต่อหน่วย ไปอย่างน้อยเป็นระยะเวลา 10 ปี อย่างไรก็ตามในปัจจุบัน เราใช้เพียง 58% ของก๊าซ ธรรมชาติทั้งหมด เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า จึงประมาณการได้ว่า หากเฉลี่ยส่วนลดให้ผู้ใช้ก๊าซทุกรายตามสัดส่วนการใช้จะ ประหยัดไฟฟ้าได้ 17 สตางค์ต่อหน่วย ในด้านข้อเสนอผลประโยชน์ตอบแทนรัฐ ผู้ชนะการประมูลยังได้เสนอผลประโยชน์ตอบแทนรัฐมากกว่า 50% โดยข้อ เสนอดังกล่าวมากกว่าเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในเอกสารเชิญชวน ซึ่งจะสามารถสร้างรายได้ให้กับรัฐเพิ่มขึ้นอีก 100,000 ล้านบาท รวมถึงยังสามารถผลิตก๊าซธรรมชาติจากทั้ง 2 แปลง ได้ต่อเนื่องมากกว่า 10 ปี ซึ่งจะสามารถสร้างเสถียรภาพด้านพลังงานให้กับ ประเทศ เพื่อเป็นรากฐาน ในการพัฒนาระบบเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของประเทศได้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ การพัฒนาทั้ง 2 แปลงนี้ ในช่วงระยะเวลา 10 ปีแรกของสัญญาแบ่งปันผลผลิต คาดว่า สามารถสร้างผล ประโยชน์ให้รัฐในรูปค่าภาคหลวง ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม และ ส่วนแบ่งปิโตรเลียมส่วนที่เป็นกำไร ที่เป็นประโยชน์ ต่อประเทศ ชาติ ตลอดจนก่อให้เกิดการจ้างงานพนักงานคนไทย ในสัดส่วน 98% และยังช่วยลดการนำเข้าก๊าซแอลพีจีได้ประมาณ 22 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 4.6 แสนล้านบาท รวมทั้งยังก่อให้เกิดการลงทุนหมุนเวียนในประเทศอีกประมาณ 1.1 ล้านล้านบาท ในส่วนของการให้หน่วยงานรัฐเข้าร่วมลงทุนในสัดส่วน 25% นั้น เนื่องจากบริษัทที่ชนะการประมูลของทั้ง 2 แปลง คือ บริษัทในเครือของ PTTEP ซึ่งถือเป็นหน่วยงานของรัฐ ดังนั้น ในส่วนของข้อเสนอดังกล่าวบริษัทที่ชนะการประมูลจึงเข้าเงื่อนไขด้าน การเข้าร่วมของหน่วยงานรัฐ โดยแปลง G1/61 (แปลงเอราวัณ) ในสัดส่วน 60% และ แปลง G2/61 (แปลงบงกช) ในสัดส่วน 100% ซึ่งจะทำให้การบริหารจัดการแหล่งก๊าซธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยทั้ง 2 แปลง อยู่ภายใต้การดำเนินงานของหน่วย งานรัฐ เพื่อเกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนอย่างสูงสุด รมว.พลังงาน กล่าวว่า หลังจากนี้กระทรวงพลังงานจะดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ โดยคาดว่าจะสามารถลงนามใน สัญญาแบ่งปันผลผลิตกับผู้ชนะการประมูลภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2562