นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.สิงห์ เอสเตท (S) กล่าวว่า บริษัทวางแผนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าภายใน 5 ปี (62-66) ตั้งงบลงทุนกว่า 17,000 ล้านบาทเพื่อพัฒนาโครงการใหม่ หรือการเข้าลงทุน (M&A) ในโครงการที่สร้างเสร็จแล้วและอยู่บนทำเลที่ดี มีผู้เช่าหลากหลายธุรกิจ อายุอาคารไม่เกิน 20 ปี หรือลักษณะคล้ายกับอาคารซันทาวเวอร์
ทั้งนี้ บริษัทวางเป้าหมายจะมีโครงการให้เช่าพื้นที่เพิ่มขึ้นอีกราว 4-5 โครงการ เพื่อให้พื้นที่ให้เช่าเพิ่มเป็น 350,000 ตารางเมตรภายใน 5 ปี จากปัจจุบันบริษัทมีโครงการที่เปิดให้บริการและโครงการอยู่ระหว่างก่อสร้างจำนวน 4 โครงการ ได้แก่ อาคารซันทาวเวอร์ส ขนาด 118,828 ตารางเมตร, โครงการ Lighthouse มีพื้นที่ 3,500 ตารางเมตร, โครงการสิงห์ คอมเพล็กซ์ มีพื้นที่รวม 120,000 ตารางเมตร และโครงการ ครอสโร้ดส์ (CROSSROADS) มีพื้นที่การค้ากว่า 11,000 ตารางเมตร ซึ่งมีพื้นที่รวมทั้งหมดอยู่ที่ 253,328 ตารางเมตร
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนพัฒนาโครงการมิกส์ยูสโครงการใหม่ที่ใช้ชื่อว่า Oasis บนถนนวิภาวดี-รังสิต มูลค่า 3,695 ล้านบาท โดยจะมีพื้นที่ให้เช่า (NLA) ประมาณ 53,000 ตารางเมตร แบ่งเป็น พื้นที่สำนักงาน และพื้นที่ค้าปลีกบางส่วน คาดว่าจะใช้เวลาในการพัฒนาโครงการประมาณ 3 ปีนับตั้งแต่ปี 62 เป็นต้นไป
นายนริศ กล่าวว่า แหล่งเงินลงทุนตามแผน 5 ปีดังกล่าว บางส่วนจะมาจากการนำอาคารซันทาวเวอร์สขายเข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เอส ไฟร์ม โกรท (SPRIME) โดยบริษัทคาดว่าจะนำหน่วยลงทุนเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ในช่วงต้นปี 62
ขณะที่บริษัทวางเป้าหมายการเติบโตของธุรกิจที่มาจากรายได้ประจำ (Recurring income) ในอีก 5 ปีข้างหน้า จะมีสัดส่วนรายได้เพิ่มเป็น 50% จากปี 62 คาดว่าสัดส่วนรายได้ประจำจากการให้เช่าพื้นที่เพื่อการพาณิชย์จะอยู่ที่ 30-40% หลังจากเปิดตัวโครงการสิงห์ คอมเพล็กซ์ ส่วนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยจะมีสัดส่วนรายได้ที่ 60-70%
นายนริศ กล่าวว่า สำหรับการพัฒนาโครงการใหม่ บริษัทจะยังคงเจาะตลาดไลฟสไตล์ระดับพรีเมียม โดยนำแนวคิด Premier Lifestyle Developer ในการพัฒนาธุรกิจคอมเมอร์เชียลเพื่อนำเสนอไลฟ์สไตล์ประสบการณ์ใหม่ในทุกมิติ นอกเหนือจากการพัฒนาโครงการในทำเลศักยภาพ การออกแบบและจัดสรรพื้นที่อย่างพิถีพิถัน การสรรหาร้านค้าที่ดีตลอดจนสิ่งอำนวยความสะดวกที่เพียบพร้อมแล้ว
สิ่งที่บริษัทจะสร้างความโดดเด่นและแตกต่างจะมีใน 3 มิติ โดยมิติแรก คือ การดูแลสิ่งแวดล้อมและชุมชนรอบข้างผ่านการพัฒนาอย่างยั่งยืน อาทิ การรักษาต้นไม้ใหญ่ในพื้นที่เดิม (Urban Sanctuary) ของโครงการสิงห์ คอมเพล็กซ์ การก่อสร้างและบริหารอาคารแบบประหยัดพลังงานตามมาตรฐานสากล (Energy Saving) การให้องค์ความรู้บริหารจัดการขยะที่มีประสิทธิภาพผ่านโครงการ Sea You Tomorrow ซึ่งจะช่วยลดปัญหาการสร้างขยะทะเล (Marine Debris) จากขยะในเมืองได้เป็นอย่างดี
มิติที่ 2 การให้บริการและประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ผ่านการผสมผสานระหว่าง Human Touch และ SMART Technology อย่างลงตัว โดยบริษัทฯ มีการลงทุนใน Smart Technology ที่เหมาะสม ใช้งานได้สะดวกในชีวิตจริง สามารถดูแลบำรุงรักษาและพัฒนาได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเมื่อผสานกับทีมบุคลากรที่พร้อมให้บริการอย่างเอาใจใส่ ดูแลลูกค้าอย่างเป็นมิตร จะทำให้ลูกค้าเกิดความประทับใจและได้รับความสะดวกสบาย จากบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ สำหรับโครงการ สิงห์ คอมเพล็กซ์ ได้มีการพัฒนาแอพพลิเคชั่น S Life สำหรับผู้ใช้อาคาร สิงห์ คอมเพล็กซ์ ซึ่งสร้างประสบการณ์ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ เช่น การเข้าออกประตูที่กั้นลิฟต์ การจ่ายเงินในศูนย์อาหาร foodPLACE ด้วยระบบ QR code และบริการ Super Wifi ความเร็วสูงถึง 1GB/sec
มิติที่ 3 การสร้างสังคมที่มีความสุข Sharing Community มีการแบ่งปัน เกื้อกูล และเคารพวัฒนธรรมท้องถิ่นของชุมชนที่อยู่มาแต่เดิม ดึงให้ชุมชนได้มามีส่วนร่วมกับโครงการด้านความยั่งยืนของบริษัทฯ การผสมผสานวิถีชีวิตใหม่กับวิถีดั้งเดิมทำให้โครงการมีเสน่ห์และอัตลักษณ์ที่จะดึงดูดคนจากที่ต่าง ๆ ให้เข้ามา เช่น แอมฟิเธียร์เตอร์ในโครงการสิงห์ คอมเพล็กซ์ ที่สร้างขึ้นเพื่อให้ชุมชนรอบข้างสามารถเข้ามาใช้พื้นที่ทำงาน หรือทำกิจกรรมด้านศิลปะต่างๆ ร่วมกัน
"ปัจจุบันเทรนด์ธุรกิจมิกซ์ยูสในกรุงเทพฯ มีแนวโน้มการเติบโตต่อเนื่อง จากการขยายการก่อสร้างระบบขนส่งมวลชนของรัฐบาล ทำให้เกิดการพัฒนายกระดับหลายพื้นที่สู่การเป็นย่านธุรกิจ พาณิชยกรรม และที่พักอาศัยใหม่ๆ ซึ่งความท้าทายที่สำคัญ คือการสร้างเมืองที่ทำให้ผู้อยู่อาศัยมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน การพัฒนาโครงการในปัจจุบันจะมุ่งเน้นเรื่องการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การนำสมาร์ทเทคโนโลยีมาอำนวยความสะดวก แต่สิ่งที่ควรจะพิจารณาเพิ่มเข้ามาคือ การผสมผสานชีวิตความเป็นอยู่ วัฒนธรรมดั้งเดิมของชุมชนเข้ามา ซึ่งจะทำให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีเสน่ห์ มีอัตลักษณ์ ที่จะสามารถดึงดูดทุกคนเข้ามา ทำให้สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนในอนาคต"
สำหรับการเปิดตัวโครงการสิงห์ คอมเพล็กซ์ อย่างเป็นทางการในวันนี้ นายนริศ กล่าวว่า สะท้อนให้เห็นวิสัยทัศน์ที่ต้องการเพิ่มมูลค่าให้กับพื้นที่ประวัติศาสตร์ รวมถึงกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจเพื่อเจาะตลาดพรีเมียมของบริษัทฯ ผ่านการพัฒนาและออกแบบอย่างพิถีพิถัน ใส่ใจในทุกรายละเอียด มีการจัดสรรพื้นที่ใช้สอยในส่วนของอาคารสำนักงาน พื้นที่ค้าปลีก และคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรีให้สามารถรองรับการใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ เพื่อการจัดการทรัพยากรที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด
สิงห์ คอมเพล็กซ์ โครงการลักชัวรี มิกซ์ ยูส แห่งแรกในย่านอโศก-เพชรบุรี อยู่บนพื้นที่กว่า 11 ไร่ แบ่งพื้นที่ใช้สอยออกเป็น 2 ส่วนหลัก ได้แก่ 1) อาคารสำนักงานเกรดเอ (The Office at SINGHA COMPLEX) และพื้นที่ค้าปลีกให้เช่า ตัวอาคารสูง 42 ชั้น ขนาดพื้นที่อาคารรวมประมาณ 120,000 ตารางเมตร แบ่งเป็น พื้นที่ให้เช่าสุทธิของสำนักงานประมาณ 60,000 ตารางเมตร และพื้นที่ให้เช่าสุทธิของพื้นที่ค้าปลีก จำนวน 4 ชั้น ประมาณ 4,500 ตารางเมตร และพื้นที่จอดรถ รองรับรถได้ประมาณกว่า 880 คัน 2) อาคารคอนโดมิเนียม (THE ESSE at SINGHA COMPLEX) อาคารสูง 39 ชั้น