นายสมเกียรติ ศิลวัฒนาวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ (STI) ผู้นำกลุ่มธุรกิจบริหารและควบคุมงานก่อสร้างครบวงจร เชื่อมั่นว่าหุ้น STI ที่จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันพุร่งนี้ (19 ธ.ค.) จะได้รับการตอบรับจากนักลงทุน และสามารถยืนเหนือราคาเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ที่ 6.30 บาทต่อหุ้นได้ เนื่องจาก กลุ่ม STI มีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ทีมผู้บริหารซึ่งมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจกว่า 30 ปี ได้รับความเชื่อมั่นจากลูกค้าและพันธมิตร ซึ่งเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำระดับประเทศ มีความโดดเด่นด้านงานออกแบบสถาปัตกรรมและวิศวกรรม รวมทั้ง งานอนุรักษ์โบราณสถาน ส่งผลให้กลุ่ม STI แตกต่างจากคู่แข่ง เนื่องจากเป็นงานที่ต้องใช้ทีมวิศวกรและสถาปนิกที่มีประสบการณ์สูง
ขณะเดียวกัน กลุ่มผู้ถือหุ้นมีความแข็งแกร่ง โดยโครงสร้างการถือหุ้นของ STI ภายหลัง IPO ประกอบด้วย บริษัท ยูนิเวนเจอร์ แคปปิตอล จำกัด สัดส่วน 26.12%, รวมกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมที่เป็นกรรมการและผู้บริหารระดับสูง และบุคคลที่เกี่ยวข้องของ STI สัดส่วน 48.81% และผู้ถือหุ้นรายย่อย 25.07%
สำหรับผลประกอบการในงวด 9 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ก.ย.) กลุ่ม STI มีรายได้จากการให้บริการ 443.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 28.31% ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ในธุรกิจบริหารและควบคุมงานก่อสร้าง จากการเพิ่มขึ้นของปริมาณงานที่ให้บริการในงวดดังกล่าว เช่น โครงการ One Bangkok และ โครงการ The PARQ เป็นต้น ส่วนกำไรสุทธิงวด 9 เดือนแรกของปีนี้ อยู่ที่ 30.48 ล้านบาท มีงานในมือที่รอรับรู้เป็นรายได้ (Backlog) อยู่ที่ 770.09 ล้านบาท หรือคิดเป็นจำนวน 114 โครงการ โดยจะทยอยรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ ไปจนถึง 3 ปีข้างหน้า
"กลุ่ม STI มีแนวโน้มการเติบโตสูง ตามภาพรวมอุตสาหกรรมที่มีการขยายตัว สะท้อนได้จากงานในมือที่เพิ่มขึ้น เป็นโอกาสในการรับงานใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2561 คาดว่าจะเป็นอีกปีที่ดีที่สุดของกลุ่ม STI เทียบกับผลประกอบการในปี 2560 ซึ่งมีรายได้จากการให้บริการรวมอยู่ที่ 494.56 ล้านบาท กำไรสุทธิอยู่ที่ 57.51 ล้านบาท จากการทยอยรับรู้รายได้ตามความสำเร็จของงานโครงการที่มีมูลค่าสูงขึ้น"นายสมเกียรติ กล่าว
สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้จำนวนกว่า 400 ล้านบาท จะนำไปใช้ลงทุนจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมทักษะความรู้พนักงาน ลงทุนอุปกรณ์ ระบบคอมพิวเตอร์ รวมถึง เทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ และส่วนที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
นายสมเกียรติ กล่าวว่า นอกจากนี้เป้าหมายในอนาคตของกลุ่ม STI อาจมีการขยายกิจการ ด้วยการเข้าลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลักของกลุ่มบริษัทฯ ในระยะเวลาประมาณ 2-3 ปีข้างหน้า เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต
ทั้งนี้ เชื่อมั่นหุ้น STI จะเป็นอีกหุ้น Growth Stock ที่น่าจับตามองจากการมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง การลงทุนในสินทรัพย์ขนาดใหญ่มีไม่มาก เนื่องจากการลงทุนเพื่อขยายธุรกิจ จะมาจากการเพิ่มจำนวนบุคลากรเป็นหลัก ตลอดจนมีโอกาสการขยายกิจการในอนาคต รองรับงานที่ปรึกษาบริหารและควบคุมการก่อสร้างอย่างครบวงจร ทั้งในประเทศไทย และประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)
ประกอบกับ กลุ่มลูกค้าของกลุ่ม STI ส่วนใหญ่เป็นบริษัทจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ มีการพัฒนาโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง มีฐานรายได้ที่กระจายออกไปในหลากหลายธุรกิจ รายได้หลักกว่า 50% มาจากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะโครงการแนวสูงและ Mix-used ซึ่งมีแนวโน้มการเติบโต และงานในมือที่เพิ่มขึ้น สะท้อนการรับรู้รายได้อย่างมั่นคงในระยะยาว จึงมั่นใจ STI จะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน