หุ้น TMB ปรับลง 0.87% มาอยู่ที่ 2.28 บาท ลดลง 0.02 บาท มูลค่าซื้อขาย 126.56 ล้านบาท เมื่อเวลา 11.35 น. โดยเปิดตลาดที่ 2.30 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 2.32 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 2.28 บาท
ขณะที่ราคาหุ้น TCAP ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของธนาคารธนชาต (TBANK) บวกขึ้น 0.95% มาอยู่ที่ 53.00 บาท มูลค่าซื้อขาย 184.15 ล้านบาท เมื่อเวลา 11.36 น. โดยเปิดตลาดที่ 52.50 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 53.00 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 52.50 บาท
เช้านี้ นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) และโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังไม่มีการเสนอเรื่องการควบรวมระหว่างธนาคารทหารไทย (TMB) กับธนาคารธนชาต (TBANK) เข้ามาให้ สศค.พิจารณาแต่อย่างใด แต่ในหลักการแล้วกระทรวงการคลังสนับสนุนให้ธนาคารขนาดเล็กควบรวมกัน ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาล โดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก็ได้มีมติยกเว้นภาษีสำหรับการควบรวมกิจการสถาบันการเงินไปแล้ว
นอกจากนี้ มองว่าในอนาคตธุรกิจสถาบันการเงินจะต้องมีการลงทุนเรื่องระบบเทคโนโลยี เพื่อรองรับยุคดิจิทัลมากขึ้น ดังนั้นหากเป็นธนาคารขนาดเล็กอาจจะลงทุนในส่วนนี้ได้ไม่ดีพอ และทำให้ไม่สามารถแข่งขันกับธนาคารรายอื่นได้ แต่หากมีการควบรวมกิจการกัน ก็จะทำให้การลงทุนเพื่อตอบรับระบบดิจิทัลของธนาคารจะมีประสิทธิภาพตามไปด้วย
ส่วนกรณีที่กระทรวงการคลังจะตัดสินใจขายหุ้น TMB ออกมาหรือไม่นั้น โฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวว่า คงต้องถามความเห็นจากสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสหกิจ (สคร.) เนื่องจาก สคร.มีหน้าที่ดูแลสินทรัพย์ของรัฐวิสาหกิจ แต่ในหลักการแล้วถ้าจะมีการขายหุ้นก็ควรต้องได้ราคาสูงกว่าต้นทุนที่ได้มา
ขณะที่บทวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ระบุว่า ที่ผ่านมามีกระแสข่าวการควบรวม TMB กับธนาคารพาณิชย์อื่นออกมาตลอด แต่ยังไม่มีข้อสรุปที่แน่นอน เราเชื่อว่ามีโอกาสที่จะเกิดการควบรวมกิจการขึ้นหลังจากที่กระทรวงการคลังมีมติยกเว้นภาษีการควบรวมสถาบันการเงินเมื่อ 17 เม.ย.61 สิ้นสุดเดือน ธ.ค.62 โดยรวมหากทั้งสองธนาคารมีควบรวมกันจริงจะทำให้กลายเป็นธนาคารที่มีสินทรัพย์ 1.9 ล้านล้านบาทใกล้เคียงกับธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) มากขึ้น
ทั้งนี้ TCAP มีความโดดเด่นด้านสินเชื่อรายย่อยโดยเฉพาะเช่าซื้อรถยนต์ โดยสัดส่วนกว่า 70% เป็นสินเชื่อรายย่อยขณะที่ TMB มีความโดดเด่นทางด้านสินเชื่อบริษัทขนาดใหญ่และ SME โดยมีสัดส่วนสินเชื่อบริษัทขนาดใหญ่กว่า 40% และ SME กว่า 30% การควบรวมจะทำให้ธนาคารมีส่วนผสมที่เหมาะสมมากขึ้น
อย่างไรก็ดี เชื่อว่าหากดีลนี้เกิดขึ้นจริง คงใช้เวลาควบรวมและปรับโครงสร้างกว่า 1 ปีกว่าจะเดินต่อได้ ทั้งนี้ยังคงเป็นเพียงกระแสข่าวยังมีความไม่แน่นอนว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไร และจะควบรวมกันในลักษณะไหน หากมีการแลกหุ้นจะเป็นสัดส่วนเท่าไร ใครจะได้หรือเสียประโยชน์ คงประเมินอีกครั้งหลังได้ข้อสรุป