บล.เออีซี (AECS) เปิดเผยว่า ประเมินช่วงโค้งสุดท้ายที่เหลือของปี 61 ดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) ยังคงแกว่งตัวในกรอบแคบๆ ที่ระดับแนวรับ 1,557 จุด และ แนวต้านที่ 1,653 จุด เนื่องจากยังได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกที่เข้ามากดดัน เช่น ตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน (Trade Wars)
และการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 18-19 ธ.ค.61 ที่คาดการณ์ว่าจะมีแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ย ขณะที่การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทยในวันนี้ก็คาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะถูกปรับเพิ่มขึ้นที่ระดับ 1.75% ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนการทำธุรกิจสูงขึ้น แต่อย่างไรก็ดี ปัจจัยจากการเลือกตั้งที่มีแนวโน้มชัดเจนขึ้นก็ส่งผลเชิงบวกต่อภาคการลงทุน
นอกจากนี้ ฝ่ายวิเคราะห์ แนะนำให้จับตาปัจจัยที่จะเข้ามาเป็นตัวแปรสำคัญต่อตลาดทุน โดยเฉพาะตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่ตอกย้ำถึงการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะกดดันกำลังซื้อในประเทศ หลังได้รับผลกระทบจากสงครามการค้ากับสหรัฐฯ ที่ชัดเจนมากขึ้นโดยล่าสุดทางการจีน ประกาศตัวเลขผลผลิตภาคอุตสาหกรรม และยอดค้าปลีกเดือน พ.ย.ที่ต่ำกว่าคาด (ยอดค้าปลีกต่ำสุดตั้งแต่ปี 2003) ต่อเนื่องจากดัชนีผู้ผลิตและผู้บริโภคที่ประกาศออกมาก่อนหน้า กดดัน Sentiment ลงทุนในตลาดหุ้นตลาดเกิดใหม่ (EM) ที่มีสัดส่วนการส่งออกไปยังจีนมาก และสร้างความกังวลต่อความต้องการใช้พลังงานที่น้อยลงตามภาวะเศรษฐกิจ ทำให้ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มปรับตัวลงต่อ
พร้อมกันนี้ จากกรณีที่ธนาคารของกลุ่มประเทศขนาดใหญ่เริ่มหันมาใช้นโยบายการเงินแบบตึงตัวมากขึ้น โดยล่าสุดธนาคารกลางยุโรป (ECB) ประกาศยกเลิกโครงการ QE อย่างเป็นทางการ และส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยในปีหน้า และการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่จะมีขึ้นวันที่ 18-19 ธ.ค.นี้ นักลงทุนส่วนใหญ่เชื่อมั่นว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในรอบนี้สู่ระดับ 2.25-2.5% (Implied Prob. จาก Fed Fund Futures อยู่ที่ 72.4%) ซึ่งจะส่งผลให้ Fund Flow มีทิศทางไหลออกจากตลาดสินทรัพย์เสี่ยง จากความกังวลผลจากต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นจะกระทบต่อกำไรของหลายบริษัท และผลจากค่าเงินดอลลาร์ที่จะแข็งค่าขึ้นยังลดความน่าสนใจของตลาดหุ้น EM ลง
อย่างไรก็ตาม จากปัจจัยดังกล่าวในข้างต้น บล.เออีซี แนะนำ Overweight ทยอยสะสมหุ้น Domestic Play 4 กลุ่มหลัก อาทิ กลุ่ม Out of Home Media แนะนำ PLANB, VGI และกลุ่มค้าปลีก แนะนำ ROBINS, CPN, COL, กลุ่มนิคม แนะนำ AMATA, WHA และ กลุ่มธนาคาร แนะนำ BBL, KBANK
ขณะที่กลุ่มรับเหมาก่อสร้างและกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ แนะนำหลีกเลี่ยงการลงทุน เนื่องจากแนวโน้มการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธปท.ในการประชุมกนง.ครั้งนี้ (19 ธ.ค.) จะส่งผลต่อต้นทุนในการทำธุรกิจของทั้ง 2 กลุ่มนี้ ประกอบกับส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ทั้งบ้านและคอนโดมิเนียม