นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยเช้านี้น่าจะซึมตัวลง จาก Sentiment หุ้นโลกค่อนข้างแย่จากความกังวลต่อเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว หลังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นดอกเบี้ย พร้อมกับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในปีนี้และปีหน้า
รวมถึงที่ประชุมธนาคารกลางอังกกฤษ (BoE) และธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เมื่อวานนี้มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แต่ทาง BoE ยังได้ปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจอังกฤษในไตรมาส 4 ทำให้ภาพตลาดมีความกังวลมากขึ้นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัว นอกจากนี้ราคาน้ำมันที่ดิ่งลงเกือบ 5% มาทำระดับต่ำสุดรอบ 17 เดือนก็ยังกดดันต่อภาพการลงทุนด้วย
อย่างไรก็ตามปัจจัยในประเทศยังมีภาพบวกเล็กน้อย จากการที่กองทุนในประเทศกลับมาซื้อสุทธิหลังจากที่ได้ขายออกมาตลอดในช่วงต้นเดือน ธ.ค. ส่วนหนึ่งคาดว่าน่าจะเป็นเงินไหลเข้าจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ที่จะเข้ามาในช่วงปลายปี รวมถึงตลาดยังคาดว่ามีแนวโน้มที่จะมีการทำราคาปิดสิ้นงวดบัญชี (Window Dressing) ในช่วงนี้ด้วย ซึ่งน่าจะช่วยประคองไม่ให้การปรับลดลงของดัชนีจะยังไม่เกิดจุดต่ำสุดใหม่หลังจากที่ทำไว้ในรอบนี้ที่ 1,578 จุด
พร้อมให้แนวรับที่ 1,580-1,585 จุด และแนวต้านที่ 1,600 จุด และ 1,610-1,615 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (20 ธ.ค.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 22,859.60 จุด ร่วงลง 464.06 จุด (-1.99%) ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,467.42 จุด ลดลง 39.54 จุด (-1.58%) และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,528.41 จุด ลดลง 108.42 จุด (-1.63%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 82.08 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนลดลง 9.72 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 111.23 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 25.54 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 7.42 จุด,ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 19.43 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดลดลง 5.24 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (20 ธ.ค.61) 1,596.10 จุด ลดลง 5.02 จุด (-0.31%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 46.63 ล้านบาท เมื่อวันที่ 20 ธ.ค.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.พ.62 ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (20 ธ.ค.61) ปิดที่ 45.88 ดอลลาร์/บาร์เรล ร่วงลง 2.29 ดอลลาร์ หรือ 4.8%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (20 ธ.ค.61) ที่ 3.03 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 32.61 แข็งค่าตามภูมิภาคหลังดอลล์อ่อน รอดูตัวเลขส่งออกไทย มองกรอบวันนี้ 32.55-32.70
- แบงก์ชาติ-นักเศรษฐศาสตร์ฟันธงเศรษฐกิจปีหน้าชะลอโตต่ำ 4% หลังปีนี้ ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว มองเศรษฐกิจโลก สงครามการค้า ความผันผวนตลาดเงิน และหนี้ครัวเรือน เป็นปัจจัยเสี่ยง ลุ้นเลือกตั้งและอุปสงค์ในประเทศหนุน ธปท.ชี้ทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น แต่อาจจำกัด ขึ้นอยู่กับพัฒนาการเศรษฐกิจ-ตลาด มองไม่ขึ้นแรงเหมือนอดีต หรือปรับขึ้นแค่ 1 ครั้งปีหน้า
- "ทีเอ็มบี-ธนชาต"ขานรับสัญญาณบวก รัฐมนตรีคลังหนุนควบรวมกิจการ เร่งสปีดเต็มสูบตั้งเป้าเสร็จก่อนเลือกตั้ง ขณะที่ 2 แบงก์ออกโรงปลอบขวัญพนักงาน ยันไม่เอาคนออกหลังควบ
- ปลัดพลังงาน เผยว่าขณะนี้กระทรวงพลังงานได้จัดทำ 5 แผนลูก ภายใต้แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (พีดีพี) ฉบับใหม่ ปี 2561-2580 โดยวันนี้ นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รมว.พลังงาน จะเป็นประธานการประชุมร่วมกับส่วนราชการและเอกชนในกลุ่มพลังงาน เพื่อหารือถึงความคืบหน้าการจัดทำกรอบร่างแม่บท 5 แผน ภายใต้พีดีพีฉบับใหม่ หรือ 5 แผนลูกพีดีพี พร้อมดึงกองทุนอนุรักษ์ฯเข้ามาร่วมจัดทำเป็นแผนเพื่อหวังให้การใช้เงินมีความชัดเจนและเกิดประโยชน์กับประชาชน
- ม.หอการค้าไทย คาดการณ์ว่าจากการที่สหรัฐเดินหน้าขึ้นภาษีการค้ากับจีน 25% จะส่งผลต่อการส่งออกไทยในปี 2562 ประมาณ 1,653-6,484 ล้านดอลลาร์สหรัฐ กระทบต่อจีดีพีประเทศประมาณ -0.3 ถึง 1.2% ซึ่งยังไม่รวมปัจจัยราคาน้ำมัน การขึ้นดอกเบี้ยธนาคารกลางสหรัฐ โดยต้องจับตาในเดือน มี.ค. 2562 ว่าสหรัฐจะขึ้นภาษีทางการค้าหรือไม่
- ธ.ออมสินนำร่องขึ้นดอกเบี้ยเงินฝาก 0.25% พร้อมประสานเสียงแบงก์รัฐตรึงดอกเบี้ยเงินกู้ สวนกนง. หวั่นกระทบลูกค้า ด้านแหล่งข่าวมองกนง.ขึ้นดอกเบี้ย 0.25% มาที่ 1.75% หากธนาคารพาณิชย์ไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากตาม จะทำให้ได้รับส่วนต่างดอกเบี้ยจากเงินสภาพคล่องทั้งระบบ 1.6 หมื่นล้านบาท
- แหล่งข่าวจากการรถไฟแห่งประเทศ ไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า อนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (บอร์ด PPP) และสคร. ได้ส่งเรื่องโครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ-หัวหิน ระยะทางราว 210 กิโลเมตร วงเงินลงทุน 94,673.15 ล้านบาท กลับมาให้กระทรวงคมนาคมทบทวนแนวเส้นทางและรูปแบบการร่วมทุน (PPP) ใหม่ เนื่องจากสาระสำคัญของโครงการได้เปลี่ยนแปลงหลายด้าน โดยเฉพาะแนวเส้นทางรถไฟความเร็วสูงที่มีปัญหาหลายจุด ส่งผลให้วงเงินก่อสร้างต้องเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย
*หุ้นเด่นวันนี้
- AOT (เอเอสแอล) ให้มูลค่าเหมาะสมที่ 80 บาท โดยเริ่มเห็นแนวโน้มการฟื้นตัวของกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนจากในเดือน พ.ย. ที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวจีนเพิ่มขึ้น 4.5% MoM จากในเดือน ต.ค.ที่ลดลง 0.2% MoM รวมไปถึงจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศตามท่าอาศยานต่างๆ MTD ปรับตัวเพิ่มขึ้น 5%YoY ซึ่งเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อผลประกอบการ ขณะที่มองบวกสำหรับการเติบโตในระยะยาวจากโครงการในอนาคตที่อยู่ระหว่างรอพิจารณาจากภาครัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาสนามบินหลักสนามบินภูมิภาค และการเปิดประมูลร้านค้า Duty Fee และพื้นที่เชิงพาณิชย์
- BEM (กสิกรไทย) ให้ราคาเป้าหมาย 8.70 บาท หลังมีรายงานข่าวจากสื่อว่า กทพ. ได้ข้อสรุปหลังหารือกับ BEM ว่าจะยืดอายุสัมปทานทางด่วนขั้นที่ 2 ของ BEM ไปอีก 37 ปี ทดแทนกับการชำระค่าเสียหายที่ BEM เรียกร้องมาทั้งหมดทั้ง 8 คดี หลักๆเกียวกับการปรับค่าผ่านทาง ซึ่งข่าวนี้เป็นบวกต่อ BEM เนื่องจากสัมปทาน 1) ทางด่วนขั้นที่สองที่กำลังจะหมดอายุในปี 2563 นี้เป็นสัมปทานหลักคิดเป็นรายได้ 40% ของทั้งหมด 2) การยืดอายุสัมปทานน่าจะเป็นการเพิ่มมูลค่าบริษัทให้ BEM ได้ราว 1.8-2.7 บาท/หุ้น, และ 3) การยืดอายุสัมปทานจะทำให้กำไรของ BEM ในปี 2563 เป็นต้นไปมีความมั่นคงยิ่งขึ้น โดยยังแนะ"ซื้อ"แม้ว่าราคาหุ้นปัจจุบันจะสูงกว่าราคาเป้าหมาย เนื่องจากยังไม่ได้เพิ่มปัจจัยจากข่าวเข้ามาในประมาณการ แต่ข่าวดังกล่าวจะเป็นปัจจัยเร่งต่อราคาหุ้น
- SCC (เคทีบีฯ) แนะ"ซื้อ"ราคาเหมาะสม 465 บาท จากแนวโน้มปิโตรเคมี 4Q61 ดีกว่าที่ตลาดคาด โดยส่วนต่างราคา PE และ PP กลับมาอยู่ที่ระดับ 700 เหรียญสหรัฐ/ตัน อีกครั้ง หลังจากที่ Naphtha ปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมัน ในขณะที่ราคา PE และ PP ยังทรงตัวอยู่ได้ในระดับ 1,200 เหรียญสหรัฐ/ตัน ขณะที่สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน สงบลงช่วยส่งผลดีต่อธุรกิจปิโตรเคมี ซึ่งช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้รับผลกระทบจากการชะลอคำสั่งซื้อจากประเทศจีนเนื่องด้วยสงครามการค้า ดังนั้น หลังจากการมีข้อตกลงร่วมกันระหว่าง สหรัฐฯ-จีน จะทำให้ปริมาณคำสั่งซื้อกลับมาเพิ่มขึ้นเป็นปกติ และคาดว่าราคาปิโตรเคมีจะปรับเพิ่มขึ้นจากอุปสงค์จากจีนที่เพิ่มขึ้น พร้อมทั้งมองปี 2562 กลุ่ม Cement และ Building Material จะกลับฟื้นได้หลังความชัดเจนของการเลือกตั้ง เพราะเชื่อว่ารัฐบาล ชุดใหม่จะเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐและจะทำให้เกิดการบริโภคซีเมนต์ในประเทศเพิ่มขึ้น