นายสุรงค์ บูลกุล ประธานกรรมการ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการ(บอร์ด) ได้หารือถึงแนวทางดำเนินการของกทพ. กรณีศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 21 ก.ย.ที่ ให้ กทพ. จ่ายเงินชดเชยแก่บริษัท ทางด่วนกรุงเทพเหนือ จำกัด พร้อมดอกเบี้ยรวมเป็นเงินประมาณ 4,200 ล้านบาท กรณีมีการสร้างทางยกระดับดอนเมืองโทลล์เวย์ ช่วงอนุสรณ์สถานแห่งชาติ-รังสิต เป็นทางแข่งขัน และกรณีข้อพิพาท การปรับค่าผ่านทาง กับบมจ. ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) ซึ่งข้อพิพาทที่อยู่ระหว่างการพิจารณาทั้งหมด รวมกันทั้งสิ้นมีมูลค่ากว่า 1 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ บอร์ดกทพ.ได้พิจารณา เงื่อนไขและแนวทางเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตร(ครม. )ที่ให้หาแนวทางการแก้ปัญหา แก้ภาระหนี้ และให้กทพ.เจรจากับ เอกชน ซึ่งกทพ.มีทางเลือกจำกัด ระหว่างการจ่ายเงินชำระหนี้เอกชนเอง ซึ่งมีมูลค่าสูง และแนวทางการขยายเวลาสัมปทาน โดยได้ข้อสรุปในการเจรจาได้ทางออกร่วมกันที่ดี คือการขยายอายุสัญญาสัมปทาน ทางด่วนขั้น 2 ออกไปอีก 37 ปี
โดยมีเงื่อนไข ว่า จะยุติข้อพิพาทและยกภาระหนี้ทั้งหมด , เปลี่ยนสูตรการพิจารณาปรับค่าผ่านทางใหม่ เป็น การกำหนดที่ชัดเจนคือ จะปรับทุกๆ 10 ปี ในอัตรา 10 บาท จากเดิมที่คำนวณตามดัชนีผู้บริโภค (CPI) ซึ่งทำให้มีปัญหาพิพาทการปัดเศษและนำไปสู่ข้อพิพาท ,เอกชนต้องก่อสร้างทางเพิ่มต่อ เป็นทางด่วนชั้นที่ 2 ช่วงจากอโศก-ประชาชื่น ระยะทาง 17 กม. วงเงินลงทุนประมาณ 3.2 หมื่นล้านบาท เพื่อระบายรถโดยไม่มีการเก็บค่าผ่านทางเพิ่ม ซึ่งจะย่นเวลาการเดินทางในช่วงดังกล่าวจาก 1 ชม. เหลือ 20 นาที ,ก่อสร้างแลมป์ขึ้นลง เพิ่มเติมในจุดที่มีปัญหาจราจร ซึ่งคาดว่าเอกชนจะลงทุนรวมเกือบ 4 หมื่นล้านบาท
นายสุรงค์ กล่าวว่า ในเบื้องต้นในสัญญาที่ขยายออกไป 37 ปี จะแบ่งรายได้ให้กทพ.ที่สัดส่วน 60% ส่วนเอกชนได้ 40% ทั้งนี้กทพ.จะสรุปแนวทางนำเสนอกระทรวงคมนาคมภายในเดือนธ.ค.นี้ เพื่อเสนอตามขั้นตอนไปที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ(สคร.) และคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (คณะกรรมการ PPP) เห็นชอบและเสนอครม.ต่อไป