นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บ้านปู (BANPU) กล่าวว่า กลุ่มบริษัทบ้านปูฯ มองเห็นโอกาสการลงทุนจากแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) ของประเทศไทยฉบับใหม่ ปี 61-80 ที่กำลังจะประกาศในเร็ว ๆ นี้ โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวเนื่องกับพลังงานหมุนเวียน ก๊าซธรรมชาติ และพลังงานเชื้อเพลิงทั่วไป ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ Greener & Smarter ของบริษัทฯ ที่เน้นการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และมีความชาญฉลาดในการดำเนินธุรกิจมากยิ่งขึ้น รวมทั้งความได้เปรียบด้านความหลากหลายทางภูมิศาสตร์ คือ มีการดำเนินธุรกิจใน 10 ประเทศทั่วภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก
โดยกลุ่มบริษัทบ้านปูฯ สามารถนำประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านการดำเนินธุรกิจไฟฟ้าจากการบริหารโครงการโรงไฟฟ้าทั้งจากพลังงานเชื้อเพลิงทั่วไป และพลังงานหมุนเวียนภายใต้การดำเนินงานของบมจ.บ้านปู เพาเวอร์ (BPP) ที่กระจายตัวอยู่ในประเทศต่าง ๆ ทั่วภูมิภาค มาปรับใช้เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาดในประเทศที่มีความเติบโตด้านความต้องการใช้ไฟฟ้า และมีนโนบายสนับสนุนจากรัฐบาล
ปัจจุบัน ธุรกิจไฟฟ้าของบ้านปูฯ มีกำลังการผลิตตามสัดส่วนการลงทุนรวม 2,689 เมกะวัตต์ (MW) รวมทั้งหมด 28 โครงการ ครอบคลุมโครงการและโรงไฟฟ้าจากพลังงานเชื้อเพลิงทั่วไป พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลม กระจายตัวอยู่ในประเทศ ไทย ลาว จีน ญี่ปุ่น และเวียดนาม โดยในจำนวนนี้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วทั้งหมด 17 แห่ง กำลังการผลิต 2,144 เมกะวัตต์ ซึ่งรวมถึงโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แห่งล่าสุดที่นาริ ไอสึ จังหวัดฟุกุชิมะ ประเทศญี่ปุ่น ที่มีกำลังผลิตตามสัดส่วนการลงทุน 15.35 เมกะวัตต์ ซึ่งเริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เมื่อต้นเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา
ขณะที่กลุ่มบริษัทบ้านปูฯ ที่มุ่งเน้นการลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าและพลังงานหมุนเวียนทั้งในประเทศไทยและประเทศที่มีศักยภาพในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกอย่างต่อเนื่อง เพื่อเดินหน้าสู่เป้าหมายของกลุ่มบริษัทบ้านปูฯ ในการขยายกำลังการผลิตให้ถึง 4,300 เมกะวัตต์ โดยมีพลังงานหมุนเวียนไม่น้อยกว่า 20% ภายในปี 68
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีความพร้อมในฐานะผู้ให้บริการด้านการวางระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนแบบครบวงจร ภายใต้การดำเนินงานของบริษัทลูก คือ บริษัท บ้านปู อินฟิเนอร์จี จำกัด โดยเน้นการทำงานร่วมกับหุ้นส่วนทางธุรกิจที่เป็นบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมดังกล่าวเพื่อหาโซลูชันที่ดีที่สุดเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าแต่ละราย รวมทั้งทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ ผู้เชี่ยวชาญ และภาคเอกชนอื่นๆ ในการสร้างองค์ความรู้ด้านการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อพัฒนาประเทศไทยไปสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะ หรือสมาร์ทซิตี้ อย่างเป็นรูปธรรม
"ด้วยโครงสร้างกลุ่มธุรกิจของบ้านปูฯ เป็นการนำเสนอโซลูชันด้านพลังงานแบบครบวงจรที่ครอบคลุมธุรกิจต้นน้ำ (ถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ) กลางน้ำ (การบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานรวมไปถึงการค้าถ่านหิน) และปลายน้ำ (ไฟฟ้า พลังงานทดแทน และระบบการจัดการเทคโนโลยีพลังงาน) ผสานธุรกิจด้านพลังงานทั้งในรูปแบบดั้งเดิมและรูปแบบใหม่หรือพลังงานทดแทน ทำให้เราสามารถผนึกกำลังระหว่างกันในกลุ่มธุรกิจหลักเพื่อบริหารจัดการทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความสมดุลและขยายการเติบโตในกลุ่มธุรกิจพลังงานของบ้านปูฯ เพื่อส่งมอบพลังงานอย่างยั่งยืน ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค ชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม ตามพันธสัญญาที่ว่า Our Way in Energy พลังบ้านปูฯ สู่พลังงานที่ยั่งยืน" นางสมฤดี กล่าว