นายเอก สุวัฒนพิมพ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซีลิค คอร์พ (SELIC) เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า การเข้าซื้อกิจการกลุ่ม PMC คาดว่าจะช่วยสนับสนุนยอดขายรวมของบริษัทในปี 62 ขึ้นสู่ระดับ 1,400-1,500 ล้านบาท คาดหวังว่าจะเข้ามาช่วยขยายตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ โดยอาศัยฐานหลักของกลุ่ม PMC ในสิงคโปร์ พร้อมกับช่วยเพิ่มอำนาจการต่อรองการซื้อวัตถุดิบ ซึ่งจะส่งผลดีต่อต้นทุนรวม ขณะที่ SELIC ยังจะเดินหน้าหาพันธมิตรเพิ่มเติมในกลุ่มกาว Water Based และกาว Hot Melt ต่อไป
"ที่ผ่านมาเรามีการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และยิ่งเราได้กลุ่มของ PMC เข้ามา การซื้อวัตถุดิบที่มากขึ้นก็จะทำให้ต้นทุนวัตถุดิบต่ำลง ซึ่งบริษัทคาดหวังการเติบโตของรายได้ที่ 10% ของทั้ง PMC และ SELIC ร่วมกันจะมียอดขายที่ไม่ต่ำกว่า 1,500 ล้านบาทแน่นอน ซึ่งปีหน้าเรามองว่าเติบโตได้"นายเอก กล่าว
ทั้งนี้ SELIC เตรียมเสนอเข้าสู่ที่ประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 14 ธ.ค.นี้อนุมัติการเข้าซื้อกิจการในกลุ่ม PMC ได้แก่ บริษัท พีเอ็มซี เลเบิล แมททีเรีลส์ จำกัด (PMCT) ประกอบธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายสติกเกอร์ในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยใช้กาว กระดาษ และฟิล์ม เป็นวัตถุดิบหลัก ส่วนบริษัท พีเอ็มซี เลเบิล แมททีเรีลส์ พีทีอี ลิมิเตด (PMCS) จัดจำหน่ายสติกเกอร์ที่ผลิตจากประเทศไทยไปในประเทศในสิงคโปร์และต่างประเทศ รวมเป็นมูลค่าของการซื้อกิจการครั้งนี้ไม่เกิน 1,050 ล้านบาท คาดว่าการเข้าซื้อกิจการจะแล้วเสร็จภายในช่วงต้นเดือน ม.ค.62
นายเอก กล่าวว่า หลังจากการเข้าซื้อกิจการแล้วเสร็จ บริษัทจะมีการพูดคุยกับกลุ่ม PMC เพื่อ Synergy ธุรกิจร่วมกัน โดยจะนำส่วนงานที่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นทีมจัดซื้อ ทีมวิจัยและพัฒนา หรือทีมที่ดูแลระบบหลังบ้านทั้งหมด มาทำงานร่วมกันเพื่อจะบริหารจัดการต้นทุนให้ดีขึ้น
กลุ่ม PMC ในปี 60 มียอดขาย 845 ล้านบาท โดยมีธุรกิจที่ครบวงจร ทั้งการผลิต การจำหน่าย และแผนกวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยตลาดสติ๊กเกอร์มีการเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ 5.5% ถือว่าอยู่ในระดับที่สูงมาก ปัจจุบันมีมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ราว 30,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนยอดขายของ PMC เองยังถือว่าเล็กมากเมื่อเทียบกับภาพรวมของตลาด จึงเชื่อว่าจะสามารถเติบโตได้อีกมาก
นอกจากนี้ ทาง PMC มีการจำหน่ายสินค้าไปยังกว่า 10 ประเทศทั่วโลก ขณะที่ SELIC ก็มีการส่งออกยังตลาดต่างประเทศราว 27 ประเทศ ส่งผลให้เมื่อรวมกันแล้วจะมีกลุ่มลูกค้าที่ใหญ่ขึ้นเป็นกว่า 30 ประเทศ นอกจากนี้ ฐานธุรกิจหลักของ PMCS ตั้งอยู่ในประเทศสิงคโปร์ ดังนั้น จะทำให้ภาพรวมของ SELIC ก้าวไปสู่ระดับโลกมากขึ้น เนื่องจากในประเทศสิงคโปร์เป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของบริษัทชั้นนำทั่วโลก ซึ่งจะทำให้การเข้าเจรจากับบริษัทขนาดใหญ่ทำได้ง่ายขึ้น
"ในกลุ่มประเทศที่บริษัทมีความคิดที่จะไปตั้งสำนักงานขาย หรือมีความต้องการที่จะจำหน่ายสินค้าเข้าไป ทาง PMC ก็ได้มีการจำหน่ายสินค้าเข้าไปแล้ว อาทิ ประเทศเวียดนาม สามารถเข้าไปจำหน่ายสินค้าร่วมกัน และมีต้นทุนที่ลดลง จากเดิมที่จะเป็น SELIC เข้าไปจำหน่ายเพียงรายเดียว"นายเอก กล่าว
นายเอก กล่าวอีกว่า ธุรกิจสติ๊กเกอร์มีส่วนประกอบสำคัญ คือ กาวที่ใช้ในการยึดติด โดยทาง SELIC จะร่วมกับกลุ่ม PMC ในการวิจัยและพัฒนากาวที่ใช้ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่หลากหลายมากขึ้น อาทิ กลุ่มอาหารแช่แข็ง กลุ่มที่มีความเฉพาะทางสูง กลุ่มสติ๊กเกอร์ที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ เป็นต้น
"กลุ่ม PMC เป็นเพียงจิ๊กซอว์หนึ่งในภาพใหญ่ของเรา จากแต่ก่อน SELIC บริษัทเดียวยอดขายเราราว 600 ล้านบาท เรามีความเข้มแข็งที่ R&D วันนี้เรามี PMC ที่เป็นเหมือนกับ downline ลงไปจากเรา ภาพรวม 2 บริษัท รวมกันยอดขาย 1,400-1,500 ล้านบาท และทำให้บริษัทมีทรัพย์สินของเราเพิ่มเป็นหลักพันล้านบาท ทำให้เปลี่ยนภาพของเราไปเลย ซึ่งทำให้การลงทุนเราสามารถมองไปที่ขนาดใหญ่กว่าเดิมได้ จากที่แต่ก่อน SELIC ด้วยตัวเองอาจจะทำไม่ได้ ซึ่งหลังจากนี้เราก็ต้องทำจิ๊กซอว์ภาพเราให้มันเต็มเป็นภาพที่ต้องการเห็นในอนาคต และเราสามารถที่จะดำเนินธุรกิจไปให้มียอดขายเป็นหลักหลายพันล้านบาทในเวลาที่ไม่นานมาก"นายเอก กล่าว
นายเอก กล่าวอีกว่า หลังจากนี้บริษัทยังคงมองหาการลงทุนใหม่ๆเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง อาทิ ในกลุ่มของกาว Water Based และกาว Hot Melt ที่ยังไม่ได้เข้าไปเลย ซึ่งทาง PMC ก็ใช้วัตถุดิบดังกล่าวอยู่เป็นจำนวนมาก จะส่งผลให้บริษัทสามารถหาพันธมิตรเข้ามาร่วมมือกับ SELIC และจะสามารถเจาะตลาดในกลุ่มผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้เพิ่มเติมอีก
โดยเฉพาะในกลุ่มของกาว Water Based ที่ปัจจุบันบริษัทแทบจะยังไม่มีการผลิต หากทางบริษัทสามารถเริ่มผลิตและจำหน่ายเข้าไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มยานยนต์ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มแพคเกจจิ้ง และกลุ่มเฟอร์นิเจอร์ ก็จะส่งผลให้ยอดขายในฝั่งของ SELIC จะมีการเจริญเติบโตที่รวดเร็วกว่าเดิมมาก
"หากเรามองทั้ง 2 บริษัทแล้ว เราจะเห็นว่าภาพรวมจะมีพื้นที่ของการขายที่เยอะขึ้น ประเทศที่มากขึ้น ซึ่งการขายร่วมกันนั้นจะทำให้ประเทศที่ทาง SELIC เข้าไป แต่ PMC ยังไม่ได้เข้า ก็สามรถเข้าไปขายได้ และหากประเทศไหนเค้าขายเราไม่ได้ขายเราก็สามารถเข้าไปขายได้ด้วย ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ PMC เข้าอยู่แต่เราไม่ได้เข้า เราก็สามารถเข้าไปขายได้ด้วย ซึ่งเราอยากจะบอกให้เห็นว่าปัจจุบันเราไม่ได้มีอะไรที่ซ้ำกันไม่ว่าจะเป็นฐานลูกค้า หรืออย่างอื่น โดยรวมแล้วเราจะมีลูกค้าเป็นกว่า 1,000 ราย ซึ่งตรงนี้เยอะมากสำหรับเรา"นายเอก กล่าว
นายเอก กล่าวถึงแผนการเติบโตปี 62 ว่า ภาพรวมในสินค้าของบริษัทถือว่าเป็นสินค้าที่ใช้แล้วหมดไป เพราะฉะนั้นความต้องการของบริษัทยังคงมีอยู่ตลอดเวลา สำหรับตลาดภายในประเทศก็ยังคงต้องติดตามสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นใหญ่ๆ คือการเลือกตั้ง และเมื่อหลังจากการเลือกตั้งแล้วเสร็จการรัฐบาลเป็นอย่างไรและมีการสนับสนุนนโยบายต่างๆที่มีแผนมาก่อนหน้า ไม่ว่าจะเป็นโครงการโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ว่าจะยังดำเนินการไปต่อเนื่องหรือไม่ ซึ่งจะทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศไทยชัดเจนมากขึ้น
แต่อย่างไรตามมองว่า สงครามทางการค้าระหว่างประเทศจีน และสหรัฐนั้น จะส่งผลให้ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ได้รับประโยชน์ค่อนข้างมาก ซึ่งมีประเทศไทยและประเทศเวียดนามที่มีความพร้อมที่จะรองรับ ซึ่งในตลาดของกาวเอง ลูกค้าหลายๆรายมีการขยายกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการก็มีความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจเช่นกัน
https://youtu.be/VjaO63d0ZSs