นายสุรงค์ บลูกุล ประธานกรรมการ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) นายปกรณ์ อาภาพันธ์ กรรมการ กทพ.นายสุชาติ ชลศักดิ์พิพัฒน์ และนายสุทธิศักดิ์ วรรธนวินิจ รองผู้ว่าการ ฝ่ายกฎหมายและกรรมสิทธิ์ที่ดิน กทพ. หารือกับพนักงาน กทพ.ที่คัดค้านการขยายระยะเวลาสัมปทานทางด่วนขั้นที่ 2 ระยะเวลา 37 ปีใหักับ บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) แลกกับข้อพิพาทที่มีคดีฟ้องร้อง โดยได้รับความเห็นของพนักงานไปพิจารณา
นายสุรงค์ กล่าวว่า กทพ.มีหนี้ที่เกิดจากคดีฟ้องร้องมาจากส่วนแรกเป็นหนี้ที่แพ้คดีกับ บริษัท ทางด่วนกรุงเทพเหนือ จำกัด (NECL) ที่ กทพ.ต้องชดใช้เป็นเงิน 4.3 พันล้านบาท และคดีที่ BEM ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย ซึ่งชั้นอนุญาโตตุลาการชี้ขาดให้ กทพ.แพ้คดี จำนวน 6.1 หมื่นล้านบาท รวมทั้งหนี้ที่ยังไม่เกิดขึ้นที่ BEM มีสิทธิฟ้องร้อง 7 หมื่นล้านบาท รวมทั้งสิน 1.3 แสนล้านบาท
ดังนั้น คณะกรรมการ กทพ. เห็นว่าแนวทางที่ กทพ.ต้องไม่เสียเงิน พนักงาน กทพ.ต้องไม่รับผลกระทบ และส่วนแบ่งรายได้ยังเท่าเดิมที่ กทพ.ได้ 60% ส่วน BEM ได้ 40% คือการขยายระยะเวลาสัมปทานทางด่วนแลกกับค่าเสียหายที่จะต้องจ่ายเป็นตัวเงิน
"วันนี้เราต้องอยู่ได้เหมือนเดิม เรายังอยู่อีกหลายปี ถ้าแก้กันทุกปี เราก็อยู่กับที่ ประชุมกันทุกปี เราจะหาแหล่งเงินกู้จากไหน รายได้ปีละ 1 หมื่นล้านบาท หักค่าใช้จ่ายจะเหลือเท่าไร...ถ้าเราสู้จะหาเงินมาจากไหนมาสู้คดี"นายสุรงค์ กล่าว
ประธานคณะกรรมการ กทพ. กล่าวอีกว่า กทพ.ควรจะใช้เงินเดินหน้าโครงการใหม่ เช่นโครงการทางด่วนขั้นที่ 3 ทางด่วนบูรพาวิถี ทางด่วนที่ภูเก็ต เป็นต้น
นอกจากนั้น ยังระบุว่า คณะกรรมการไม่ได้เป็นผู้ตัดสินใจ แต่คณะรัฐมนตรี (ครม.)จะเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะใช้แนวทางใด และได้ถามความเห็นกับพนักงาน กทพ.และสหภาพพนักงงาน กทพ. ซึ่งในที่ประชุมที่มีพนักงานร่วมกว่า 300 คน กลับบอกว่าจะสู้คดี โดยคดีNECL นั้นพนักงานฝ่ายบัญชีของ กทพ.ยืนยันว่า กทพ.มีเงินจ่าย
นายชาญชัย โพธิ์ทองคำ ประธานสหภาพ กทพ. กล่าวว่า สหภาพฯ ขอให้ผู้ว่าการ กทพ. เลื่อนการให้ข้อมูลต่อคณะกำกับดูแลโครงการทางด่วนขั้นที่ 2 (ทางด่วนศรีรัช) ของกระทรวงคมนาคมในวันพรุ่งนี้ไปก่อน เพื่อให้ศึกษาข้อมูลให้รอบคอบ ก่อนเสนอเรื่องไปถึง ครม. ซึ่งประธานบอร์ด กทพ.ระบุว่า ตกลงรับความเห็นของพนักงาน กทพ. และพิจารณาเพิ่มเติมเรื่องตัวเลขทางบัญชี เรื่องความเสี่ยง รวมถึงการ กทพ.จะดำเนินการบริหารเองหลังหมดอายุสัมปทาน