ทริสฯ คงอันดับเครดิตองค์กร ESSO ที่ "A+" แนวโน้ม "Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday December 26, 2018 17:17 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด คงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ. เอสโซ่ (ประเทศไทย) (ESSO) ที่ระดับ "A+"

อันดับเครดิตสะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งระหว่างบริษัทกับ Exxon Mobil Corporation และบริษัทในเครือ (ExxonMobil Group) ตลอดจนประวัติผลงานที่แข็งแกร่งประกอบกับการมีโรงกลั่นน้ำมันที่มีประสิทธิภาพและครบวงจร และการมีสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งของบริษัท

อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็มีข้อจำกัดจากความผันผวนของอุตสาหกรรมปิโตรเลียมและปิโตรเคมีที่อยู่ในระดับสูงและการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

ความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับกลุ่ม ExxonMobil การคงอันดับเครดิตในครั้งนี้ส่วนหนึ่งมาจากความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งที่บริษัทมีกับกลุ่ม ExxonMobil การเป็นหนึ่งในโรงกลั่นของกลุ่มทำให้บริษัทนำเทคโนโลยีของกลุ่ม ExxonMobil มาใช้กับโรงกลั่นและโรงงานผลิตอะโรเมติกส์ของบริษัทรวมทั้งมีมาตรฐานในการดำเนินงานเช่นเดียวกันด้วย นอกจากนี้ สัญญาต่าง ๆ ที่มีกับกลุ่ม ExxonMobil เช่น สัญญาการให้บริการและสัญญาการทำวิจัยยังช่วยให้บริษัทสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและแนวปฏิบัติในการบริหารจัดการซึ่งพัฒนาโดยกลุ่ม ExxonMobil ได้อีกด้วย

บริษัทสามารถใช้ประโยชน์จากห่วงโซ่อุปทานของ ExxonMobil ในการจัดซื้อน้ำมันดิบรวมถึงสารตั้งต้นอื่น ๆ บริษัทก็จำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปและปิโตรเคมีผ่านทางเครือข่ายของตนเอง ซึ่งทำให้บริษัทยังเพิ่มขีดความสามารถในการจัดหาวัตถุดิบและลดต้นทุนลงได้จากการประหยัดจากขนาด นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากกลุ่ม ExxonMobil ซึ่งช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นทางการเงินให้แก่บริษัทอีกด้วย

โรงกลั่นที่มีประสิทธิภาพและครบวงจรทำให้สถานะทางธุรกิจแข็งแกร่ง บริษัทได้รับประโยชน์จากการดำเนินงานโรงกลั่นน้ำมันแบบซับซ้อน (Complex) ซึ่งเชื่อมต่อกับโรงงานอะโรเมติกส์ของบริษัท โรงกลั่นน้ำมันแบบ Complex ทำให้บริษัทมีความยืดหยุ่นในการคัดสรรน้ำมันดิบ ในขณะที่การเชื่อมต่อกับโรงงานอะโรเมติกส์ก็ทำให้บริษัทมีความยืดหยุ่นในการปรับสัดส่วนผลิตภัณฑ์

ในปี 2560 สัดส่วนผลิตภัณฑ์น้ำมันกลั่นสำเร็จรูปของบริษัทประกอบด้วยน้ำมันดีเซล 37.3% น้ำมันเบนซิน 19.1% รีโฟเมท 12.8% น้ำมันอากาศยานและน้ำมันก๊าด 8.4% น้ำมันเตา 7.8% และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ อีก 14.6%

นอกจากนี้ บริษัทยังได้ประโยชน์จากการใช้เทคโนโลยี รวมถึงปรัชญาการดำเนินงานของกลุ่ม ExxonMobil อีกด้วย ทั้งนี้ โรงกลั่นน้ำมันของบริษัทเป็นหนึ่งในโรงกลั่นที่มีประสิทธิภาพในระดับแถวหน้าในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิก อีกทั้งยังมีการดำเนินงานที่น่าเชื่อถือ

สถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่ง ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะยังคงสามารถรักษาความแข็งแกร่งทางการตลาดในประเทศไทยตลอดช่วงปี 2562-2564 เอาไว้ได้ต่อไป สถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งของบริษัทนั้นมาจากเครื่องหมายการค้าที่เป็นที่จดจำซึ่งทำให้บริษัทสามารถจำหน่ายน้ำมันและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่มีคุณภาพสูงได้ นอกจากนี้ บริษัทยังมีเครือข่ายสถานีบริการน้ำมันที่กว้างขวางด้วย โดย ณ เดือนตุลาคม 2561 บริษัทมีสถานีบริการน้ำมันจำนวน 595 สถานีที่ให้บริการภายใต้เครื่องหมายการค้า "ESSO" ทั่วประเทศ

ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2561 เครือข่ายสถานีบริการน้ำมันของบริษัทมีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ในด้านของยอดจำหน่ายน้ำมัน อย่างไรก็ตาม ยอดจำหน่ายน้ำมันต่อสถานีของบริษัทนั้นถือว่าค่อนข้างสูงกว่าคู่แข่งรายอื่น ๆ เป็นส่วนใหญ่

ความผันผวนของราคาน้ำมันและการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจค้าปลีกน้ำมันเป็นข้อจำกัดต่ออันดับเครดิต ทริสเรทติ้งมองว่าผลการดำเนินงานของบริษัทยังคงได้รับผลกระทบจากความผันผวนของราคาน้ำมันและปิโตรเคมี โดยความผันผวนอย่างมากของราคาอาจส่งผลทำให้บริษัทประสบผลขาดทุนดังที่เคยเกิดขึ้นในปี 2557 หรืออาจทำให้บริษัทมีผลกำไรอย่างมากดังที่เคยเกิดขึ้นในปี 2560

นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังมองว่าบริษัทจะได้รับผลกระทบจากการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจค้าปลีกน้ำมันในประเทศไทยอีกด้วย กล่าวคือ ราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาทำให้มีความต้องการใช้น้ำมันที่สูงขึ้น ส่งผลทำให้ผู้ค้าปลีกน้ำมันหลายรายได้ขยายจำนวนสถานีบริการน้ำมันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อีกทั้งผู้ประกอบการแต่ละรายก็ยังทำกิจกรรมส่งเสริมการตลาดเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดซึ่งนำไปสู่การแข่งขันที่รุนแรงมากยิ่งขึ้น

ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นช่วยให้ผลการดำเนินงานของบริษัทดีขึ้น ราคาน้ำมันที่กลับมาฟื้นตัวตั้งแต่ปี 2559 มีส่วนช่วยให้ผลการดำเนินงานของบริษัทดีขึ้น โดยบริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้น 18% เป็น 178,839 ล้านบาทในปี 2560 หลังจากที่ลดลงอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลาถึง 3 ปี ส่วนในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2561 รายได้ของบริษัทยังคงสูงขึ้นที่ระดับ 16% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน โดยมาอยู่ที่ 149,438 ล้านบาท ค่าการกลั่นของบริษัทก็ดีขึ้นอย่างมากเป็น 8.1 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2560 จาก 7.7 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2559 และ 4.7 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2558 เป็นผลทำให้บริษัทมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายอยู่ที่ประมาณ 11,000 ล้านบาทในปี 2559-2560 ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับระดับ 4,917 ล้านบาทในปี 2558 สำหรับช่วง 9 เดือนแรกของปี 2561 นั้น ค่าการกลั่นของบริษัทยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 7.8 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลและบริษัทมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายอยู่ที่ 7,904 ล้านบาท

กระแสเงินสดที่แข็งแกร่งขึ้นทำให้เงินกู้รวมของบริษัทลดลงอย่างมากเหลือ 12,346 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2560 จาก 22,969 ล้านบาทในปีก่อนหน้า อัตราส่วนหนี้ทางการเงินต่อเงินทุนดีขึ้นอย่างชัดเจนเป็น 37% โดย ณ เดือนกันยายน 2561 เงินกู้รวมของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 17,351 ล้านบาทเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนสูงขึ้นเป็น 42%

สภาพคล่องเป็นที่น่าพอใจ ทริสเรทติ้งประมาณการกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของบริษัทอยู่ที่ประมาณ 6,000-7,000 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2562-2564 บนสมมติฐานที่ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ในช่วง 60-65 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ประมาณดังกล่าวน่าจะเพียงพอสำหรับการชำระคืนเงินกู้ระยะยาวของบริษัทได้ โดยบริษัทมีภาระในการชำระคืนหนี้เงินกู้ประมาณ 3,200 ล้านบาทในปี 2562 และชำระหนี้ระยะยาวอีก 600 ล้านบาทในปี 2563

ภายใต้ประมาณการพื้นฐานของทริสเรทติ้งไม่คาดว่าบริษัทจะมีการลงทุนขนาดใหญ่แต่อย่างใด ในช่วงปี 2562-2564 คาดว่าบริษัทจะใช้เงินลงทุนประมาณ 1,600-2,200 ล้านบาทต่อปีสำหรับการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงกลั่นน้ำมันและขยายเครือข่ายสถานีบริการน้ำมัน ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทจะอยู่ในระดับ 30%-40%

การสนับสนุนทางการเงินช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นทางการเงินให้แก่บริษัท ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะยังคงได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากกลุ่ม ExxonMobil ต่อไปโดยเห็นได้จากวงเงินกู้ที่บริษัทได้รับตั้งแต่ปี 2556 จนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้ ณ เดือนกันยายน 2561 ประมาณ 67% ของเงินกู้รวมของบริษัทเป็นวงเงินที่ได้รับจากกลุ่ม ExxonMobil และนอกเหนือจากเงินกู้ระหว่างกันที่มีอยู่ในปัจจุบันแล้วกลุ่ม ExxonMobil ยังให้การสนับสนุนวงเงินกู้อีกจำนวน 54,000 ล้านบาทแก่บริษัทด้วยซึ่งปัจจุบันยังไม่มีการเบิกใช้

แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งที่บริษัทมีกับกลุ่ม ExxonMobil รวมถึงประโยชน์ต่าง ๆ ที่บริษัทจะได้รับจากกลุ่มด้วย นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจปิโตรเลียมภายในประเทศเอาไว้ได้อีกด้วย

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง โอกาสที่บริษัทจะได้รับการปรับเพิ่มอันดับเครดิตในระยะ 12-18 เดือนข้างหน้ามีค่อนข้างจำกัดเนื่องจากความผันผวนของราคาน้ำมันและภาวะอุปทานส่วนเกินของพาราไซลีน อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตมีโอกาสที่จะลดระดับลงหากบริษัทไม่ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่ม ExxonMobil หรือหากกลุ่ม ExxonMobil ลดสัดส่วนการถือหุ้นใหญ่ในบริษัทลง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ