บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด คงอันดับเครดิตองค์กรระดับ "AA" ของ บล.บัวหลวง โดยอันดับเครดิตดังกล่าวได้รับการปรับเพิ่มขึ้นจากสถานะอันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทในฐานะเป็นบริษัทลูกที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ในระดับสูงของ ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ทั้งนี้ อันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทสะท้อนถึงแหล่งรายได้ที่กระจายตัวดี สถานะทางการตลาดและความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่ง การได้รับผลกระทบจากความเสี่ยงทางด้านราคาของหลักทรัพย์และความเสี่ยงทางด้านเครดิตที่จำกัด และฐานเงินทุนและสภาพคล่องที่เพียงพอของบริษัท
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
การเป็นบริษัทลูกที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ในระดับสูงของธนาคารกรุงเทพ
ทริสเรทติ้งประเมินว่าบริษัทเป็นบริษัทลูกที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ในระดับสูงของธนาคารกรุงเทพเนื่องจากบริษัทช่วยให้ธนาคารสามารถให้บริการทางการเงินได้อย่างครบวงจรแก่ลูกค้าและธนาคารยังได้รับประโยชน์จากความชำนาญในตลาดทุนของบริษัท ในขณะเดียวกันบริษัทก็ได้รับประโยชน์จากเครือข่ายและฐานลูกค้าของธนาคารกรุงเทพ และส่งเสริมให้มีการแนะนำลูกค้าระหว่างกันอีกด้วย นอกจากความช่วยเหลือทางด้านการดำเนินธุรกิจแล้ว บริษัทยังได้รับความช่วยเหลือทางการเงินจากธนาคารกรุงเทพในรูปแบบของวงเงินสินเชื่ออีกด้วย
สถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่ง
ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงรักษาสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจหลักทรัพย์ไว้ได้ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า บริษัทสามารถรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ในเชิงมูลค่าการซื้อขายไว้ได้แม้การแข่งขันในอุตสาหกรรมจะรุนแรง โดยบริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ 4.7% ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2561 ซึ่งอยู่ในอันดับ 6 ของอุตสาหกรรม เนื่องจากบริษัทมีฐานลูกค้ารายย่อยขนาดใหญ่ บริษัทจึงสามารถรักษาระดับอัตราค่าธรรมเนียมนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม ส่งผลให้บริษัทมีส่วนแบ่งรายได้ในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์สูงที่สุดที่ 8.2% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2561
บริษัทยังเป็นผู้นำในตลาดในธุรกิจอื่น ๆ โดยบริษัทมีส่วนแบ่งรายได้ในธุรกิจนายหน้าซื้อขายตราสารอนุพันธ์ (TFEX) เป็นอันดับสองที่ 7.8% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2561 บริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดของมูลค่าการซื้อขายใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์เป็นอันดับหนึ่งที่ 41.7% ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2561 และเป็นหนึ่งในบริษัทหลักทรัพย์ที่มีรายได้จากธุรกิจวาณิชธนกิจมากที่สุดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
การมีแหล่งรายได้ที่กระจายตัว
ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะรักษาแหล่งรายได้ที่มีความหลากหลายไว้ได้ โดยในปี 2560 รายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์และตราสารอนุพันธ์คิดเป็น 59% ของรายได้รวมของบริษัท ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ 60% การพึ่งพารายได้จากค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์และตราสารอนุพันธ์ในระดับปานกลางนั้นทำให้รายได้ของบริษัทอ่อนไหวน้อยลงต่อความผันผวนของมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดและอัตราค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการคิดเป็น 15% ของรายได้รวมของบริษัทในปี 2560 โดยมาจากการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์และการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินเป็นหลัก กำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์และตราสารอนุพันธ์คิดเป็น 11% ของรายได้รวมในปี 2560 เทียบกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 9.5%
ความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่ง
ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะคงความสามารถในการทำกำไรที่ดีไว้ได้ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า แม้ว่าการแข่งขันจะรุนแรง เนื่องจากบริษัทสามารถรักษาระดับอัตราค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยไว้ได้และยังคงสร้างรายได้จากผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ด้วย โดยอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยแบบที่ปรับเป็นตัวเลขเต็มปีแล้วอยู่ที่ 8.4% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2561 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 4.3% นอกจากนี้ บริษัทยังมีค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อรายได้สุทธิที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง โดยอัตราส่วนดังกล่าวของบริษัทอยู่ที่ 45.2% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2561 เทียบกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 59.3% ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้บริษัทมีความสามารถในการทำกำไรที่เข้มแข็งเป็นเวลาหลายปีติดต่อกัน
ผลกระทบจากความเสี่ยงทางด้านราคาของหลักทรัพย์และความเสี่ยงทางด้านเครดิตที่จำกัด
บริษัทมีความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ไม่มากเนื่องจากบริษัทมีการลงทุนที่จำกัดเพียงการหาผลตอบแทนแบบ Arbitrage และการป้องกันความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องเท่านั้น ทริสเรทติ้งคาดว่าระบบบริหารจัดการความเสี่ยงของบริษัทจะยังคงมีประสิทธิภาพในการป้องกันไม่ให้บริษัทต้องขาดทุนจากการเสนอขายผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายในระดับที่สูงจนเกินไป ในด้านความเสี่ยงจากการให้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์นั้น บริษัทมียอดการให้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์คงค้างจำนวน 3,054 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2561 หรือคิดเป็น 4% ของการให้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ของทั้งอุตสาหกรรม ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะยังคงสามารถควบคุมความเสี่ยงด้านเครดิตในส่วนนี้ได้ต่อไปโดยใช้เกณฑ์การเรียกหลักประกันเพิ่มและการบังคับขายที่เคร่งครัด รวมทั้งคงนโยบายการกำหนดเกณฑ์ของหลักประกันและการพิจารณาสินเชื่อที่เข้มงวด
ฐานทุนที่แข็งแกร่งและสภาพคล่องที่เพียงพอ
ณ เดือนมิถุนายน 2561 บริษัทมีส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 8,740 ล้านบาท ซึ่งเป็นส่วนของผู้ถือหุ้นที่ใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรม บริษัทมีอัตราส่วนส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์ที่ปรับตัวเลขแล้วซึ่งเป็นตัวชี้วัดโครงสร้างเงินทุนที่ 81.4% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2561 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 66.0% ฐานทุนที่มีขนาดใหญ่นี้มีความเพียงพอที่จะรองรับความเสี่ยงด้านเครดิตจากเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์และความเสี่ยงจากความผันผวนด้านราคาของหลักทรัพย์ในเงินลงทุนของบริษัท
ณ สิ้นปี 2560 บริษัทมีอัตราส่วนเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิต่อหนี้สินทั่วไปอยู่ที่ระดับ 110% เทียบกับเกณฑ์ 7% ที่ทางการกำหนด
บริษัทมีสภาพคล่องที่เพียงพอ โดยมีอัตราส่วนสินทรัพย์สภาพคล่อง (เงินสดและเงินลงทุน) ต่อสินทรัพย์รวมอยู่ที่ 52.1% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2561 เทียบกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 35.1% นอกจากนี้ บริษัทมีวงเงินสินเชื่อจากสถาบันการเงินหลายแห่ง โดยจำนวนวงเงินสินเชื่อทั้งหมดเพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจและครอบคลุมความเสี่ยงจากการขาดสภาพคล่อง
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนการคาดการณ์ว่าบริษัทจะคงสถานะในการเป็นบริษัทย่อยที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ในระดับสูงของกลุ่มธนาคารกรุงเทพและได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากธนาคารแม่ต่อไป
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้หากสถานะด้านเครดิตของกลุ่มธนาคารกรุงเทพ หรือระดับที่บริษัทจะได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มธนาคารกรุงเทพเปลี่ยนแปลงไป หรือสถานะในการเป็นบริษัทย่อยของบริษัทต่อกลุ่มธนาคารกรุงเทพเมื่อเทียบกับบริษัทย่อยอื่น ๆ ของธนาคารกรุงเทพนั้นเปลี่ยนแปลงไป