นายสาห์รัช ชัฏสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาดและที่ปรึกษาการลงทุน บลจ.ทิสโก้ กล่าวว่า บลจ.ทิสโก้ เสนอขายกองทุนเปิด ทิสโก้ ไทย อิควิตี้ ทริกเกอร์ 5M#4 (TEQT5M4) ความเสี่ยงระดับ 6 (ความเสี่ยงสูง) และกองทุนเปิด ทิสโก้ เจแปน อิควิตี้ ทริกเกอร์ 5M#2 (TJPT5M2) ความเสี่ยงระดับ 6 (ความเสี่ยงสูง) โดยตั้งเป้าหมายเลิกโครงการเมื่อหน่วยลงทุนมีมูลค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 10.50 บาท/หน่วยภายในระยะเวลา 5 เดือน หรือ ณ เวลาใดเวลาหนึ่งหลังจากเปิดให้ผู้ถือหน่วยลงทุนสามารถซื้อขายได้ทุกวันทำการ ซึ่งการกำหนดเป้าหมายดังกล่าวไม่ใช่การรับประกันผลตอบแทนของกองทุน ผู้ลงทุนไม่สามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้ในช่วงระยะเวลา 5 เดือนแรก โดยเปิดเสนอขายครั้งแรกตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 8 ม.ค.62 มูลค่าจองซื้อขั้นต่ำ 1,000 บาท
สำหรับกองทุนเปิด TEQT5M4 จะเน้นลงทุนในหุ้นสามัญของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ/หรือตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีความมั่นคง มีแนวโน้มการเจริญเติบโตทางธุรกิจ สำหรับกองทุนเปิด TJPT5M2 เน้นลงทุนใน ETF หุ้นญี่ปุ่นที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว มีวัตถุประสงค์ในการสร้างผลตอบแทนให้สอดคล้องกับผลการดำเนินงานของดัชนี Nikkei 225 และเนื่องจากกองทุนเปิด TJPT5M2 เป็นกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศจึงมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน กองทุนจึงมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
"บลจ.ทิสโก้มั่นใจว่าตลาดหุ้นไทยในระยะข้างหน้ามีโอกาสฟื้นตัวได้ เพราะใกล้เข้าสู่ฤดูกาลจ่ายปันผลของบริษัทจดทะเบียน เศรษฐกิจยังเติบโตได้ดี และจะเกิดการเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ ขณะที่ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเป็นตลาดเด่นที่สุดในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วในปีนี้ เพราะเศรษฐกิจญี่ปุ่นมีแนวโน้มจะเติบโตได้ดี แม้ว่าจะมีผลกระทบด้านลบจากการที่รัฐบาลจะขึ้นภาษีการบริโภคตามแผนในเดือนตุลาคม 2562 แต่เชื่อว่าจะกระทบต่อการเติบโตของการบริโภคอย่างจำกัดเนื่องจากรัฐบาลได้เริ่มออกมาตรการต่าง ๆ เพื่อชดเชยผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีบ้างแล้ว และธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้จนถึงปลายปี 2562 เพราะคาดว่าเงินเฟ้อจะยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าเป้าหมาย"นายสาห์รัช กล่าว
นายสาห์รัช กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาดัชนีหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง เพราะนักลงทุนกังวลว่าเศรษฐกิจโลกในปี 2562 แม้จะยังคงเติบโตได้ดีแต่อาจเติบโตแบบชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับปี 2561 จากปัจจัยต่าง ๆ ได้แก่ การขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐและยุโรป ปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่คาดว่าจะเห็นผลกระทบอย่างชัดเจนมากขึ้นตลอดทั้งปี 2562 อย่างไรก็ตามประเมินว่าปัจจัยเหล่านี้ได้รับรู้ไปในตลาดพอสมควรแล้ว เพราะในปี 2561 หุ้นโลกนั้นได้ปรับฐานลงอย่างมีนัยสำคัญไปแล้วถึง 2 ครั้ง valuation ของตลาดหุ้นโดยส่วนใหญ่อยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ ทำให้หุ้นทั่วโลกมีโอกาสฟื้นตัวได้ ซึ่งในช่วงนี้ที่ตลาดหุ้นทั่วโลกย่อตัว จึงเป็นโอกาสดีในการเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทย และตลาดหุ้นญี่ปุ่น เนื่องจาก ตลาดหุ้นไทยยังมีปัจจัยบวกเรื่องการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในช่วงเดือนกุมภาพันธ์นี้ และกำลังเข้าสู่ฤดูกาลจ่ายปันผลของบริษัทจดทะเบียน อีกทั้งเศรษฐกิจในประเทศมีแนวโน้มเติบโตดี
ขณะที่มูลค่าหุ้นในตลาดหุ้นญี่ปุ่นมีความน่าสนใจเมื่อเทียบกับตลาดอื่น ๆ โดยบริษัทจดทะเบียนในญี่ปุ่นจำนวนกว่า 43% ชื้อขายกันอยู่ที่ระดับต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี รวมถึงอัตราส่วนทางการเงินอื่น ๆ เช่น อัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิ (P/E) ปรับลดลงมาอยู่ในระดับที่ต่ำทำให้ความเสี่ยงด้านลบมีอยู่ค่อนข้างจำกัด