บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกัน 1,000 ล้านบาท (NMG092A) ของ บมจ. เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป (NMG) ที่ระดับ “BBB" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่" โดยอันดับเครดิตสะท้อนสถานภาพทางการตลาดที่แข็งแกร่งของหนังสือพิมพ์ธุรกิจรายวัน “กรุงเทพธุรกิจ" และหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ “The Nation" ของบริษัท ตลอดจนความสามารถในการเป็นผู้ให้บริการด้านข่าวสารผ่านทางสื่อหลากหลายประเภท และความสามารถของคณะผู้บริหาร อย่างไรก็ตาม จุดเด่นดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากอัตราการก่อหนี้ของบริษัทที่ยังสูง ตลอดจนความท้าทายในธุรกิจหนังสือพิมพ์ซึ่งมีภาวะตลาดโฆษณาที่ชะลอตัวและราคากระดาษหนังสือพิมพ์ที่ยังคงอยู่ในระดับสูง
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงการที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าบริษัทเนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จะยังคงรักษาสถานภาพทางการตลาดที่แข็งแกร่งสำหรับหนังสือพิมพ์ธุรกิจรายวันเอาไว้ได้ โดยที่การใช้จ่ายด้านโฆษณาน่าจะกลับมาฟื้นตัวในระยะปานกลาง ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าผู้บริหารของบริษัทจะยังคงดำเนินนโยบายลดค่าใช้จ่ายต่อไปและภาระหนี้ของบริษัทรวมมูลค่าปัจจุบันของค่าเช่าเครื่องจักรตลอดอายุการเช่าจะลดลงอย่างต่อเนื่อง ความสำเร็จในการขายสินทรัพย์ที่ไม่ใช่สินทรัพย์หลักในการดำเนินงานโดยนำเงินที่ได้มาลดภาระหนี้จะช่วยปรับปรุงให้ฐานะการเงินของบริษัทดีขึ้นจากภาวะที่อ่อนแอในปัจจุบัน
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทเนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป เป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจด้านสื่อในระดับแนวหน้าของประเทศซึ่งผลิตสื่อหลากหลายประเภท อาทิ สิ่งพิมพ์ โทรทัศน์และวิทยุ รวมทั้งอินเทอร์เน็ต โดยสื่อสิ่งพิมพ์ยังคงเป็นธุรกิจหลักที่สร้างรายได้ระหว่าง 90%-95% ของรายได้รวมบริษัท และสร้างกำไรจากการดำเนินงานเกือบ 100% หนังสือพิมพ์ “กรุงเทพธุรกิจ" ของบริษัทจัดเป็นผู้นำที่โดดเด่นในกลุ่มหนังสือพิมพ์ธุรกิจรายวันซึ่งสามารถรักษาฐานผู้อ่านไว้ได้ในภาวะการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากหนังสือพิมพ์ธุรกิจรายวัน “โพสต์ ทูเดย์" และ “ผู้จัดการรายวัน" ในขณะที่หนังสือพิมพ์ “The Nation" ของบริษัทก็สามารถรักษาฐานผู้อ่านให้อยู่ในระดับใกล้เคียงกับผู้นำตลาดคือหนังสือพิมพ์ “Bangkok Post" ส่วนหนังสือพิมพ์ “คม ชัด ลึก" ซึ่งถือเป็นแหล่งรายได้หลักของบริษัทจากการขายโฆษณาและยอดขายตั้งแต่ปี 2545 เป็นต้นมาได้รับความนิยมจากผู้อ่านเป็นอย่างดีจนเป็นหนังสือพิมพ์รายวันติดอันดับหนึ่งในสามของหนังสือพิมพ์ที่มียอดจำหน่ายสูงสุด
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า รายได้โฆษณาจากสื่อสิ่งพิมพ์ของบริษัทเนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป ลดลงอย่างมีนัยสำคัญจาก 1,974 ล้านบาทในปี 2547 เป็น 1,709 ล้านบาทในปี 2548 โดยเป็นอัตราการลดที่ 13.4% และยังลดลงอีกเป็น 1,572 ล้านบาทในปี 2549 ซึ่งคิดเป็นอัตราการลดลงที่ 8.0% ในขณะที่รายได้ดังกล่าวยังลดลงอีกในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550 ที่ 1,082 ล้านบาท ซึ่งลดลงในอัตรา 6.9% เมื่อเทียบกับ 1,162 ล้านบาทสำหรับช่วงเดียวกันของปี 2549 อย่างไรก็ตาม รายได้ที่ลดลงจากธุรกิจโฆษณาจากสิ่งพิมพ์ได้รับการชดเชยบางส่วนจากรายได้จากธุรกิจด้านสื่อกระจายภาพและเสียงซึ่งเพิ่มขึ้นจากการมีรายได้จากรายการโทรทัศน์ปกติที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเป็นหลัก ทั้งนี้ รายได้จากธุรกิจสื่อกระจายภาพและเสียงเพิ่มขึ้นจาก 181 ล้านบาทในปี 2548 เป็น 209 ล้านบาทในปี 2549 คิดเป็นอัตราการเติบโตที่ 15.5% นอกจากนี้ รายได้จากรายการโทรทัศน์ปกติและจากการให้บริการสื่อสมัยใหม่ที่เพิ่มขึ้น อาทิ บริการด้านอินเตอร์เน็ต และบริการรับส่งข้อความทางโทรศัพท์เคลื่อนที่ก็เติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้รายได้จากธุรกิจด้านสื่อกระจายภาพและเสียงในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550 อยู่ที่ 252 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 62.1% เมื่อเทียบกับ 155 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2549 ในขณะที่รายได้โฆษณารวมของบริษัทลดลง 5.8% ในปี 2549 และค่อนข้างคงที่ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550 จากการชะลอตัวของตลาดโฆษณาและการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในตลาดหนังสือพิมพ์
แหล่งรายได้ที่สำคัญของบริษัทสำหรับธุรกิจหนังสือพิมพ์มาจากการโฆษณา ทั้งนี้ ปริมาณการโฆษณาจะเคลื่อนไหวตามภาวะเศรษฐกิจ โดยที่ปริมาณการโฆษณาในหนังสือพิมพ์มีความผันผวนมากกว่าการโฆษณาในสื่ออื่นๆ โดยตลาดโฆษณาผ่านสื่อทั้งหมดขยายตัว 5.0% ในปี 2549 และ 1.2% สำหรับ 9 เดือนแรกของปี 2550 ในขณะที่การเติบโตของสื่อหนังสือพิมพ์ลดลง 5.0% ในปี 2549 และลดลงที่ 1.1% สำหรับ 9 เดือนแรกของปี 2550 สัดส่วนรายได้โฆษณาจากหนังสือพิมพ์ของบริษัทเมื่อเปรียบเทียบกับอุตสาหกรรมอยู่ในระหว่าง 9.4%-10.9% ในช่วงปี 2547-2549 และอยู่ที่ 9.6% สำหรับ 9 เดือนแรกของปี 2550
ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทเนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จะยังคงรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดเอาไว้ได้จากการมีหนังสือพิมพ์หลักที่มีสถานะแข็งแกร่ง ได้แก่ “กรุงเทพธุรกิจ" “The Nation" และ “คม ชัด ลึก" นอกจากนี้ ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้บริษัทประสบความสำเร็จคือคณะผู้บริหารที่มีความสามารถและมีประสบการณ์ที่ยาวนาน อีกทั้งยังได้รับการยอมรับในความเป็นมืออาชีพ โดยมีกลยุทธ์ในการเป็นผู้ผลิตข่าวสารและเนื้อหาสู่สื่อหลากหลายประเภท
อัตราการก่อหนี้ของบริษัทที่นับรวมมูลค่าปัจจุบันของค่าเช่าเครื่องจักรตลอดอายุการเช่ายังคงสูงอยู่ ถึงแม้ภาระหนี้ของบริษัทรวมมูลค่าปัจจุบันของค่าเช่าเครื่องจักรตลอดอายุการเช่าจะลดลงเล็กน้อยตั้งแต่ในปี 2548 แต่ผลขาดทุนสุทธิของบริษัทตั้งแต่ปี 2548 ทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นลดลงจาก 2,158 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2547 เป็น 1,364 ล้านบาท ณ เดือนกันยายน 2550 ฉะนั้นจึงทำให้อัตราส่วนเงินกู้รวม (รวมมูลค่าปัจจุบันของค่าเช่าเครื่องจักรตลอดอายุสัญญาเช่า) ต่อโครงสร้างเงินทุนอยู่ที่ 70%-72% ในช่วงปี 2548-2549 และ ณ เดือนกันยายน 2550
ถึงแม้ราคากระดาษโลกในปี 2550 จะยังคงสูงอยู่ก็ตาม แต่บริษัทยังคงนโยบายลดค่าใช้จ่ายซึ่งทำให้สามารถลดปริมาณการใช้กระดาษลงได้จาก 16,000 ตันสำหรับ 9 เดือนแรกของปี 2549 เป็น 14,000 ตันสำหรับช่วงเดียวกันของปี 2550 อย่างไรก็ตาม ผลกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทลดลงจาก 19.13% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2549 เป็น 13.6% ในช่วงเวลาเดียวกันในปี 2550 เนื่องจากบริษัทมีค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเกิดขึ้นในช่วงดังกล่าว ทริสเรทติ้งรายงาน
--อินโฟเควสท์ โดย สารภี สายะเวส/รัชดา โทร.0-2253-5050 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--